
ต้นตอเศรษฐกิจควงสว่าน!
ต้นตอเศรษฐกิจควงสว่าน! : กระดานความคิด โดยเสือ ซ่อนเล็บ
ลำพังวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ก็ถือว่าหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2557 ที่ขยายตัวเพียง 0.9% ของจีดีพี แม้จะเข้าใจได้ว่าเป็นช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจจัดตั้งรัฐบาล คสช.เพื่อหยุดยั้งวิกฤติสงครามกลางเมือง
แต่เมื่อย่างเข้ามาปี 2558 ที่ทุกฝ่ายคาดหวังว่าด้วยอำนาจที่นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช.มีอยู่เต็มเปี่ยม จะทำให้การปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาหมักหมมทั้งหลายแหล่ได้อย่างราบรื่น แต่เอาเข้าจริงเศรษฐกิจไทยในปีนี้เป็นอย่างไร ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดีอยู่
อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ที่เคยประเมินกันเอาไว้สวยหรูจะขยายตัว 4-5% ในปีนี้ทำท่าจะไปไม่ถึง 2.7-2.8% ด้วยซ้ำ ขณะที่ภาคส่งออกที่ไทยเคยผงาดเป็นพี่เบิ้มของภูมิภาคนี้ก็ทำท่าว่าจะติดลบต่ำสุดในประวัติศาสตร์ถึง 5%
ไม่ต้องพูดถึงดัชนีอุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศที่แม้แต่ นายกฯ และหัวหน้า คสช.เองก็แสดงความประหลาดใจ เหตุใดรัฐบาลที่ทุ่มเทอัดฉีดมาตรการส่งเสริมการลงทุน บีโอไอ และมาตรการทางภาษีที่ให้มากกว่ารัฐบาลชุดใดในอดีต แต่จนแล้วจนเล่ากลับซบเซาไปไม่ถึงเป้าหมาย
นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศกลับชะลอการลงทุนเป็นหลัก และต่างก็หวังปี 2559 น่าจะเป็นปีแห่งความหวังในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง !
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนไปถึงต้นตอที่ทำให้เศรษฐกิจไทย “ควงสว่าน” ย่ำกับที่ ทั้งที่รัฐมีมาตรการกระตุ้นเบิกจ่าย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลายแหล่ของรัฐบาลแล้วเหมือนจะเกาไม่ถูกที่คัน บรรดามาตรการ “ล้างท่อ” เร่งรัดเบิกจ่ายของรัฐ ที่รัฐทั้งจัดประชุมกระตุ้นเร้าให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ ปลดล็อกเงื่อนไขเบิก-จ่ายก็แล้ว ข่มขู่ให้เร่งรัดเบิกจ่ายไม่งั้นริบงบประมาณเข้างบกลางก็แล้ว ตั้งคณะกรรมการเร่งรัดเบิกจ่ายอะไรก็แล้วแต่ทั้งหลายทั้งปวงกลับไม่ส่งผลลัพธ์อย่างที่คาดหวัง
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุนจากบรรดาโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐทั้งหลายแหล่ที่ใส่กันมาเต็มที่ จนป่านนี้ก็ยังไม่มีโครงการใดเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งโครงการรถไฟฟ้า โครงการความร่วมมือก่อสร้างรถไฟความเร็วปานกลางไทย-จีน รถไฟทางคู่ 6-8 สายทาง นอกจากการลงทุนในโครงการ 4 จีที่ กสทช.เพิ่งประมูลให้ใบอนุญาตออกไปไม่ถึงขวบเดือนที่ผ่านมาที่ดูจะเป็นเมกะโปรเจ็กต์กระตุ้นเศรษฐกิจที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด
ที่จริง เศรษฐกิจไทยควรจะเดินหน้าไปไกลมากกว่านี้ เพราะมีปัจจัยเอื้อต่อการลงทุนนั้นมีอยู่มากมาย เราได้รัฐบาลเฉพาะกาล คสช.ก็จริง แต่ก็มีเสถียรภาพ นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา และสามารถใช้ มาตรา 44 ในการผ่าทางตันปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็ว ทั้งยังมีปัจจัยในเรื่องของราคาน้ำมันและพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำ ความสมบูรณ์ทางทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
แต่เพราะนโยบาย “Drifting policy” ของรัฐที่ด้านหนึ่งออกโรงกระตุ้นเร้าเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นการลงทุนในทุกรูปแบบ แต่อีกด้านก็กลับไล่เบี้ยเป็นรายวัน ห้ามมีโครงการจัดซื้อจัดจ้างใดของรัฐมีนอกมีในให้เห็น และสั่งให้ทุกส่วนราชการจะต้องสแกนโครงการจัดซื้อจัดจ้างละเอียดยิบ
มันจึงเป็นอะไรที่ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” กันอย่างที่เห็น เพราะบรรดาหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบต่างก็ขยาดแหยงกันไปหมด
อย่างกรณีเมื่อเร็วๆ นี้ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่นัยว่ามีการพิจารณาโครงการที่รัฐต้องการให้การส่งเสริมลงทุน และเป็นหนึ่งในโครงการเป้าหมายของรัฐด้วยซ้ำ เพราะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินรายใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนหลายพันล้าน
แต่ก็ต้องถูกเบรกจนหัวทิ่ม และคาดว่า ยังมีอีกหลายโครงการที่มีเม็ดเงินลงทุนเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
แล้วอย่างนี้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทย จะเดินเครื่องเต็มสูบได้อย่างไร!