
ไฟลอยฟ้า
ไฟลอยฟ้า : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา
ใกล้เทศกาลออกพรรษาเข้ามาทุกขณะ ออกพรรษาเสร็จก็เป็นเทศกาลบุญกฐินเรื่อยไปจนถึงเทศกาลลอยกระทง ฤดูกาลเริ่มเปลี่ยน ภาคเหนือและภาคอีสานกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนภาคใต้ก็เข้าสู่วิถีมรสุมอย่างจริงจัง วิถีชีวิตของผู้คนเริ่มปรับเปลี่ยนไปตามช่วงจังหวะของฤดูกาล เที่ยงตรงบ้าง แผกเพี้ยนบ้าง ก็ว่ากันไปตามสภาพภูมิอากาศ ช่วงเทศกาลออกพรรษาเป็นช่วงที่มีบรรยากาศคึกคัก ชาวบ้านเตรียมการรับบุญออกพรรษา ทำบุญ ตักบาตร ไปวัดฟังธรรมและมีงานรื่นเริง แข่งเรือแข่งพาย ตกกลางคืนก็หันมาจุดพลุ เล่นไฟ หลายแห่งก็ปล่อยโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ยืนมองโคมของตัวเองลอยฟ่องอยู่กลางความมืด จนลมพัดพาหายลับไปกับตา
การลอยโคมไฟแต่เดิมนิยมเล่นกันในภาคเหนือหรือดินแดนล้านนา ทำกันในเดือนยี่เป็ง ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสอง อันเป็นเทศกาลลอยกระทงของภาคกลาง แถวสุโขทัยก็มีการลอยประทีมโคมไฟในเทศกาลลอยกระทง ว่ากันว่าการลอยโคมไฟนั้นถูกกล่าวถึงไว้ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พอสุโขทัยจัดงานลอยกระทงก็พยายามรื้อฟื้นรูปแบบตามที่ปรากฏในหลักฐานดังกล่าว
ทุกวันนี้ความนิยมในการลอยโคมไฟได้แพร่กระจายไปเกือบทุกภูมิภาค ทางอีสานก็รับเข้ามาค่อนข้างเต็มตัว เป็นที่น่าสังเกตว่า ในรอบสี่ห้าปีมานี้ การลอยโคมได้กลายเป็นกระแสนิยมของคนหนุ่มสาวชาวอีสานไปเสียแล้ว เวลาลอยกระทงแต่ละครั้งคู่รักหนุ่มสาว นอกจากจะพร้อมใจกันวางกระทงลงผิวน้ำบูชาพระแม่คงคาแล้ว พวกเขายังไปซื้อโคมไฟจุดลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมคำอธิษฐานสาบานรักอะไรทำนองนั้น ดังนั้นเทศกาลลอยกระทงแต่ละครั้ง ไม่เพียงแต่กระทงเท่านั้นที่ขายได้ แต่โคมลอยก็ได้กลายมาเป็นสินค้าตัวใหม่ ที่ทำรายได้ให้แก่แม่ค้ารายย่อยเป็นกอบเป็นกำ
ประเพณีต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกแช่แข็งให้คงที่ตายตัว แต่มันปรับเปลี่ยนไปตามบริบทสังคมวัฒนธรรม มีเกิดมีดับ มีปรับเปลี่ยนไปตามครรลองของมัน คนนี่แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ขนบประเพณีเปลี่ยนไป อย่างความนิยมลอยโคมไฟนี่ก็ใช่ สำหรับคนหนุ่มสาวพวกเขาอาจมองว่ามันเป็นกิจกรรมที่ให้ความรู้สึกโรแมนติก แถมมีการเสี่ยงทายบวกเข้าไปนิดหน่อย ท้ายสุดมันก็เคลื่อนย้ายจากเขตวัฒนธรรมหนึ่งไปสู่อีกเขตวัฒนธรรมหนึ่งได้ไม่ยาก
หลายปีมานี้พอถึงเทศกาลลอยกระทงที่เชียงใหม่ทีไร ข่าวที่ตามมาก็คือ มีบ้านเรือนชาวบ้านหลายหลังถูกไฟไหม้เสียหาย สาเหตุมาจากโคมไฟที่ชาวบ้านช่วยกันลอยนั่นเอง มันหมดแรงตกลงมา แต่ด้วยความที่โคมไฟสมัยนี้ทำกันค่อนข้างขนาดใหญ่ แถมใช้วัสดุที่ต่างจากอดีต ซึ่งมักใช้กระดาษสาที่ถูกไฟไหม้หมดก่อนตกถึงพื้น แต่ทุกวันนี้โคมไฟทำจากวัสดุพวกผ้า แถมขนาดก็ใหญ่ มันเลยไหม้ไม่หมด พอตกใส่หลังคาบ้านก็กลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี เอาไปเอามาโคมไฟชักจะกลายเป็นปัญหาให้แก่สังคมไทยไปแล้ว บริษัทที่เกี่ยวกับการบินออกประกาศเตือนหลายครั้งไม่ให้มีการจุดโคมลอย เพราะมันเป็นอุปสรรคต่อการบินของเครื่องบิน เข้าไปในเครื่องยนต์เมื่อไหร่ก็จบเห่ แต่ดูเหมือนคนไทยไม่ค่อยสนใจ คือถ้าไม่โดนเข้าเองก็จะไม่รู้สึกรู้สา เข้าตำรา “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” นั่นแหละ
ที่มหาสารคามเมืองที่ผมอยู่ เขาหันมาเล่นจุดโคมลอยกันแต่บุญออกพรรษาเลยทีเดียว ยิ่งพอตอนลอยกระทงนี่ดูไปดูมาโคมลอยฟ้าจะมากกว่ากระทงที่ลอยกันในแม่น้ำเสียอีก เมื่อสองปีที่แล้วผมไปลอยกระทงที่แม่น้ำชีช่วงหน้าห้างบิ๊กซีมหาสารคาม ปรากฏว่ามีโคมไฟอันหนึ่งที่พวกลอยกระทงปล่อยขึ้นไป ลอยไปติดสายไฟเหนือหลังคาตึกแถวอาคารพาณิชย์ แล้วร่วงลงบนหลังคาอาคารดังกล่าว พวกที่เห็นก็ตกอกตกใจกันใหญ่ ดีที่หลังคาตึกมันเป็นกระเบื้อง ก็เลยรอดจากการถูกไฟไหม้ไปหวุดหวิด
ลองนึกดูว่า ถ้าเป็นหลังคามุงจากหรือหลังคาแฝก มันจะเกิดอะไรขึ้น ช่วงลอยกระทงเป็นช่วงหน้าหนาว ลมหนาวพัดวอยๆ ช่วยโหมไฟเป็นอย่างดี ลงเป็นแบบนี้ โคมลอยมันชักจะไม่ใช่โคมลอยเสียแล้ว แต่มันเป็นลูกไฟลอยฟ้าที่พร้อมจะเผาเมืองได้ไม่ยาก
ตอนที่ร้านค้าในมหาสารคามหลายร้านกำลังคึกคัก สองข้างถนนริมแม่น้ำชี ทางไปมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เต็มไปด้วยร้านขายโคมลอย แขวนโชว์หลากหลายสีสัน พอลองเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าโคมไฟสมัยนี้มันทำด้วยผ้าอย่างดี มีโครงเหล็กแข็งแรง และมีขนาดใหญ่มาก ราวกับบอลลูนน้อยๆ ผมคิดว่าโคมพวกนี้เป็นสินค้าที่ผลิตมาจากโรงงาน แล้วแม่ค้าก็รับมาขาย ที่สารคามนี่ขายกันทั้งปี เวลาพวกนิสิตนักศึกษาเขาจัดงานวันเกิด จัดเลี้ยงรุ่น ก็มาซื้อโคมไปปล่อยกันสร้างสีสันบรรยากาศ โคมลอยจึงกลายเป็นสินค้าขายดีตัวหนึ่ง ที่ไม่ได้ขายกันเฉพาะเทศกาลลอยกระทงอีกต่อไป
โคมลอยจึงเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีพิษสง มันคือลูกไฟลอยฟ้าที่พร้อมจะทำให้เกิดอัคคีภัยได้ตลอดเวลา หากทางการยังไม่ออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดจริงจัง เราอาจได้ยินข่าวไฟไหม้เมืองเพราะโคมลอยเข้าสักวัน.