
ระหว่างกับความเป็นจริงและภาพแทน
ระหว่างกับความเป็นจริงและภาพแทน : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา
ในแวดวงบันเทิงขณะนี้ คงไม่มีข่าวใดจะร้อนแรงเท่าข่าวที่คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มีคำสั่ง “แบน” หรือห้ามฉายภาพยนตร์เรื่อง “อาบัติ” ของค่ายสหมงคลฟิล์ม ยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ไทย หนังเรื่องนี้มีกำหนดฉายรอบปฐมทัศน์ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ข่าวดังกล่าวนำมาซึ่งข้อถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ทั้งในหมู่ประชาชนและนักวิชาการ ความเห็นส่วนใหญ่ของคนที่รับรู้ข่าวนี้ คือไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคนที่ออกมาแสดงความเห็นส่วนมากก็ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ดูแต่ในภาพยนตร์ตัวอย่างที่เคยเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ซึ่งต่างจากฝ่ายที่พิจารณากลั่นกรอง ที่ได้ดูหนังมาก่อน แล้วจึงลงมติเห็นว่า หนังมีเนื้อหาไม่เหมาะสม เป็นการดูหมิ่นและอาจสร้างผลเสียต่อวงการพระพุทธศาสนาได้ แต่คนที่ไม่ได้ดูหนังเต็มเรื่อง กลับเห็นว่า นี่เป็นการปิดกั้นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาดีๆ ไม่ให้ผู้ชมได้มีโอกาสดูกันนี่เป็นเรื่องธรรมดา ที่หนังซึ่งถูกแบนมักจะได้รับความเห็นใจจากประชาชน ทั้งที่ไม่ได้ดูว่าจริงๆ แล้ว หนังมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร การแบนภาพยนตร์ จึงมักกลายเป็นแรงสะท้อนกลับให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นถูกมองในแง่ดีเสมอ
อะไรคือความลงตัวและพอดีของเกณฑ์ในการพิจารณาภาพยนตร์ของหน่วยงานนี้คนทั่วไปย่อมไม่มีวันรู้ แต่โดยประสบการณ์ที่เห็นมา ภาพยนตร์ที่ถูกแบน มักจะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เรื่องความหมิ่นเหม่ทางเพศ หรือเรื่องที่พาดพิงถึงศาสนาสำหรับภาพยนตร์เรื่อง “อาบัติ” เกี่ยวข้องกับประเด็นหลัง ชะรอยว่าคณะกรรมการพิจารณากลัวว่าเมื่อหนังเรื่องนี้ออกมาฉาย จะทำให้พุทธศาสนิกชนบางกลุ่มไม่พอใจ เพราะหาว่าเป็นการจาบจ้วงและทำให้ศาสนามัวหมอง ซึ่งอาจเป็นชนวนเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมได้
“เมื่อความหลงครอบงำผู้ใด ความมืดมิดย่อมมีเมื่อนั้น ”สหมงคลฟิล์ม“ เสนอหนังผีระทึกขวัญของเณรบวชใหม่ที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ลืมไม่ลง จะดิ้นรนให้หลุดพ้น? หรือจะท้าทายความผิดบาป”
นี่คือข้อความประชาสัมพันธ์หนังเรื่องนี้ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ว่าไปแล้วนี่ก็คือเหมือนแนวคิดหลักหรือแก่นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ผู้สร้างต้องการสื่อมายังผู้ชมจากตัวอย่างที่ได้ดูทำให้ทราบโครงเรื่องคร่าวๆ ว่า เป็นเรื่องของวัยรุ่นคนหนึ่งที่ทำตัวไม่ดีเอามากๆ แล้วถูกพ่อแม่จับบวชแต่การบวชก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเพราะยังคงทำตัวเหมือนเดิม แถมไปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับวัยรุ่นข้างวัด โดยที่ไม่ได้สำนึกว่ามันไม่เหมาะไม่ควรอย่างใด ด้วยความที่แนวของหนังเป็นเรื่องประเภทลึกลับสยองขวัญ เณรจอมซ่าก็ได้พบเจอกับประสบการณ์สยองขวัญ รวมทั้งพฤติกรรมเชิงลบของพระในวัด ซึ่งดูแล้วน่าจะไม่ต่างไปจากความจริงในวงผ้าเหลืองซึ่งมีข่าวออกมาเป็นระยะ ภาพยนตร์ตัวอย่างหนังเรื่องนี้บอกไว้ตอนหนึ่ง ประมาณว่าจะถูกต้อง ดีชั่วอย่างไร ก็ขอให้ผู้ชมใช้วิจารณญาณตัดสินเอาก็แล้วกัน
ผมคิดว่าในฐานะผู้สร้าง ผู้กำกับหรือแม้แต่คนเขียนบท ก็คงตระหนักแต่ต้นแล้วว่า หนังเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของชาวพุทธอย่างไม่ต้องสงสัย และคงมีการกรองกันพอสมควร ภาพยนตร์คืองานศิลปะแขนงหนึ่งที่นอกจากจะให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมแล้ว ยังแฝงแนวคิดเอาไว้ให้พิจารณากันเสมอแต่หนังก็ไม่จำเป็นต้องสอนกันตรงไปตรงมา การนำเสนอ “ภาพแทน” ของความเลวร้ายหรือไม่ชอบมาพากลก็ถือว่าเป็นการให้อุทาหรณ์สอนใจในทางอ้อมได้เช่นกัน ดังนั้น ว่าไปแล้ว หนังเพียงแต่หยิบยกเอาปรากฏการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในแวดวงของพระสงฆ์มาสร้างเป็นเรื่องเป็นราวทำหน้าที่เพียงแค่ “นำเสนอภาพแทน” หรือภาพตัวแทน ที่ผ่านการประกอบสร้างจากคนเขียนบทและผู้กำกับพวกเขาต้องเพียงแค่หยิบจับเอา “ความจริง” ที่เกิดขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้เห็น ผ่านศิลปะของภาพยนตร์ไม่ได้โกหก เว้นเสียแต่เราพยายามโกหกตัวเองว่า เรื่องทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ภาพแทนก็คือภาพแทนมันมีพื้นฐานมาจากความจริงที่ดำรงอยู่ในสังคมเราควรยอมรับว่า มีเรื่องเสื่อมเสียในวงการสงฆ์จริงๆ หนังเพียงแต่หยิบมาสะท้อนให้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นแต่ความจริงที่มีอยู่มันเลวร้ายและหนักข้อกว่าด้วยซ้ำไป แล้วจะไปกลัวอะไรกันนักหนา
การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมเชิงลบของพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วชาวบ้านนั่นแหละตัวดีที่ชอบตรวจสอบพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของพระ ไม่งั้นคงไม่มีนิทานประเภท “พระเถร เณร ชี” กันหรอก ชาวพุทธที่ใจกว้างควรยอมรับความจริงในเรื่องนี้ภาพยนตร์ถือเป็นงานศิลปะที่สะท้อนความจริงแม้จะผ่านการประกอบสร้างความหมายของผู้สร้างผู้กำกับก็ตาม
การแบนภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า สังคมของเราเป็นสังคมปากว่าตาขยิบไม่เปลี่ยนแปลง