
แก้วหน้าม้า:เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
แก้วหน้าม้า:เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา
คนที่เกิดและเติบโตมาจนอายุสี่สิบกว่าๆ รับรองได้ว่า ต้องเคยดูละครโทรทัศน์ประเภทจักรๆ วงศ์ๆ มาแล้วเกือบทั้งสิ้น การเกิดขึ้นของละครโทรทัศน์ประเภทจักรๆ วงศ์ๆ ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่ พ.ศ.2510 ด้วยซ้ำไป เท่าที่พอค้นข้อมูลได้บ้าง ระบุว่าละครทีวีประเภทจักรๆ วงศ์ ๆ เรื่องแรกคือ “ปลาบู่ทอง” แสดงโดยดาราสาวยอดนิยมในเวลานั้น คือคุณเยาวเรศ นิศากร ละครเรื่องนี้เป็นฝีมือการสร้างของค่ายดาราฟิล์ม โดย ไพรัช สังวริบุตร ออกอากาศทางช่อง 7 และได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างล้นหลาม จนทำให้ละครที่นำมาจากวรรณคดีและนิทานพื้นเมืองของไทยกลายเป็นประเภทหนึ่งของละครทีวีที่ยังยืนยงมาจนทุกวันนี้
ล่าสุดผมอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง เปิดเผยผลการสำรวจของเว็บไซต์เอจีบี นีลเส็น ที่ทำการสำรวจความนิยม หรือเรตติ้งของช่องฟรีทีวีเดิม ระหว่างวันที่ 14-20 กันยายน ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ละครเรื่อง “แก้วหน้าม้า” ซึ่งเป็นละครจักรๆ วงศ์ ๆ ที่ออกอากาศเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ของช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ มีเรตติ้งพุ่งกระฉูดขึ้นนำเป็นอันดับหนึ่งของสัปดาห์ดังกล่าว บางคนไม่อยากเชื่อ แต่ถ้าผลการสำรวจนั้นเป็นจริงก็ควรเชื่อได้ว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่เรียกกันจนติดปากนี้ ส่วนใหญ่สร้างมาจากวรรณกรรมประเภทนิทานจักรๆ วงศ์ๆ แทบทั้งสิ้น จะมีเขียนบทใหม่บ้างก็มีน้อย วรรณกรรมประเภทนี้ในสมัยก่อนถือว่า เป็นวรรณกรรมยอดนิยม (popular fiction) ก็ว่าได้ เพราะมีการอ่านกันอย่างแพร่หลาย ยิ่งพอมีโรงพิมพ์เกิดขึ้นในประมาณสมัยรัชกาลที่ 5 นิทานประเภทนี้ก็ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่จำหน่ายกันในวงกว้าง โดยเฉพาะโรงพิมพ์วัดเกาะหรือโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในการพิมพ์เรื่องจักรๆ วงศ์ๆ และนิทานพื้นบ้าน นักอ่านสมัยนั้นรู้จักและจดจำสโลแกนของหนังสือวัดเกาะที่ว่า “ยี่สิบห้าสตางค์ต่างรู้ท่านผู้ซื้อ ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะหนักหนา" ได้เป็นอย่างดี แต่ต่อมาความนิยมเรื่องประเภทจักรๆ วงศ์ ๆ ก็เริ่มซบเซา เพราะมีงานเขียนบันเทิงคดีแบบใหม่ของตะวันตกเข้ามาแทนที่ ปรากฏการณ์นี้ "ครูเทพ" หรือเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เคยให้ความเห็นว่า เพราะเรื่องแบบนี้มันมีโครงเรื่องซ้ำๆ ประเภท "เรียนวิชา ฆ่ายักษ์ ลักนาง" จนคาดเดาล่วงหน้าได้เลย ทั้งเนื้อหาก็ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เพราะเต็มไปด้วยเรื่องเหาะเหิน เดินอากาศ พองานเขียนแบบใหม่คือเรื่องสั้นและนวนิยายมาแทนที่ นิทานพื้นบ้านจักรๆ วงศ์ๆ ก็ตกขอบเวทีวรรณกรรมไป พูดง่ายๆ ว่า มันไม่สอดคล้องกับบริบทของยุคสมัยและรสนิยมในการอ่านของคนในสมัยนั้น
ดังนั้นถ้าเราจะให้เครดิตผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์และเผยแพร่นิทานพื้นบ้านและเรื่องประโลมโลกอันเก่าแก่ดั้งเดิมในวัฒนธรรมการอ่านของไทยไม่ให้สูญหายไป ก็ต้องให้เครดิตกับโรงพิมพ์วัดเกาะเป็นปฐม ตามมาด้วยสถานีโทรทัศน์ที่เป็นเจ้าประจำของละครประเภทนี้ ซึ่งได้รื้อฟื้นนำมาผลิตซ้ำให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้เสพเพื่อความบันเทิงติดต่อมาหลายทศวรรษ จนเป็นรายการละครทีวีประเภทยาสามัญประจำบ้านไปเสียแล้ว ล่าสุดก็นำเอานิทานยอดนิยมอย่าง “แก้วหน้าม้า” มาผลิตซ้ำอีกรอบ โดยนักแสดงรุ่นใหม่และมีกระบวนการถ่ายทำที่เต็มไปด้วยเทคนิคทันสมัย ยิ่งทำให้ “นางแก้วหน้าม้า” ฟันเหยินได้มากระโดดโลดเต้นอยู่ในจินตนาการของเด็กไทยสมัยดิจิทัลได้อย่างสมจริงสมจังมากขึ้น
ในท่ามกลางยุคข้อมูลข่าวสารที่ไหลบ่าท่วมท้น ละครโทรทัศน์ยังถือว่าเป็นรายการทีวีที่ได้รับความนิยมอย่างคงเส้นคงวา แต่ละครทีวีที่ออกอากาศกันส่วนใหญ่มักเป็นละครของผู้ใหญ่ ให้ผู้ใหญ่ดูกันเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ค่อยเหมาะกับเด็กๆ สักเท่าไหร่ เพราะเหตุอะไรก็รู้ๆ กันอยู่ ละครที่สร้างมาจากเรื่องประเภทจักรๆ วงศ์ๆ จึงยังพอเป็นพื้นที่น้อยนิดที่ทำให้เด็กไทยยุคนี้ได้สัมผัสกับมรดกนิทานพื้นบ้านที่ถูกหลงลืมไปแล้วได้เป็นอย่างดี เนื้อหาสาระแม้จะไม่พ้นเรื่องโลกียวิสัยของสามัญมนุษย์ แต่ก็ได้สอดแทรกคติธรรมเอาไว้ไม่น้อย ทั้งยังได้สร้างรูปแบบท่วงทำนองความเป็นไทยๆ ให้เด็กสมัยใหม่ได้เห็นอยู่บ้าง อย่างน้อยๆ ก็อาจช่วยทานกระแสเกาหลีฟีเวอร์ ในรูปละครซีรีส์ที่ทำให้คนไทยติดกันงอมแงมได้บ้าง
นิทานเป็นวรรณกรรมมหัศจรรย์ และมีความเป็นสากล ต่อให้โลกเจริญก้าวหน้าไปแค่ไหน แต่วรรณกรรมประเภทนิทานก็ยังทรงพลังอยู่เสมอ นิทานไม่ยึดโยงกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ทางสังคมในช่วงใดช่วงหนึ่ง ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยล้าสมัย ยิ่งได้นำมาผลิตซ้ำด้วยรูปแบบการละครสมัยใหม่ ก็ยิ่งทำให้นิทานน่าติดตามมากขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะวรรณกรรมประเภทนี้มันพูดถึงธรรมชาติและความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ มนุษย์ที่เต็มไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง นั่นเอง
...................
(หมายเหตุ : ขอบคุณภาพจาก http://108lakorn.com/แก้วหน้าม้า)