
ตำนานถอดยศในการเมืองไทย
ตำนานถอดยศในการเมืองไทย : กระดานความคิด โดยบางนา บางปะกง
สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนมากพอควร เมื่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่ง ที่ 26/2558 เรื่อง การดำเนินการเพื่อถอด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากยศตำรวจ ซึ่งตามขั้นตอนของกฎหมายนั้น มี 2 วิธีที่จะดำเนินการถอดยศได้ คือ การยื่นทูลเกล้าฯ ถวาย และการใช้มาตรา 44
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้นำเรื่องนี้ที่ถูกเสนอมา จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาหารือใน คสช.อีกครั้ง และมติของ คสช.เห็นควรว่า เพื่อไม่ให้ฝ่ายการเมืองหรือกลุ่มไม่หวังดีนำเรื่องสถาบันมาเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 44 ดำเนินการ เพราะเห็นว่า เป็นกระบวนการที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ในขณะนี้
ถ้าจำกันได้ ประเด็นการถอดยศ “ทักษิณ” มีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายต้านระบอบทักษิณมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 แต่รัฐบาลสุรยุทธ์ก็ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากตัดขัดข้อกฎหมาย
ล่วงมาถึงการรัฐประหาร 2557 มีเสียงเรียกร้องถอดยศ “ทักษิณ” อีก จึงได้มีกระบวนการดำเนินการถอดยศทักษิณ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องมันส่อเค้าว่าจะลากยาว แต่ในที่สุด “ประยุทธ์” ได้ใช้มาตรา 44 ดำเนินการจนจบสิ้นกระบวนความ
จาก “ถอดยศ” อดีตนายกฯ ทักษิณ ทำให้นึกเรื่องในอดีตคือ การถอดยศ “สองจอมพล-หนึ่งพันเอก” คือ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร
เวลานั้น กลุ่มนักศึกษาประชาชนที่ต่อสู้ขับไล่ “รัฐบาลเผด็จการ” ได้เรียกร้องให้อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี สมัยนั้น ดำเนินการถอดยศทั้งสามคน โดยนายกฯ สัญญา ก็มีอำนาจตามมาตรา 17 เหมือนนายกฯ ประยุทธ์ มีมาตรา 44 แต่การถอดยศมิอาจกระทำได้รวดเร็วทันใจฝ่ายต่อต้านเผด็จการทหาร
จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2516 รัฐบาลสัญญาทำได้เพียงถอดยศ พ.อ.ณรงค์ แต่ไม่มีการถอดยศ 2 จอมพลคือ “ถนอม-ประภาส”
40 ปีที่แล้ว อาจารย์สัญญา ในฐานะนายกรัฐมนตรี สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ได้เต็มที่ แต่อาจารย์สัญญาก็ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ นอกจากมหาชนในขณะนั้น จะเรียกร้องให้ถอดยศแล้ว ยังขอให้อาจารย์สัญญา ใช้มาตรา 17 ยึดทรัพย์ “สองจอมพล”
ปลายเดือนพฤษภาคม 2517 อาจารย์สัญญาได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีแรงกดดันจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรณียึดทรัพย์จอมพลถนอม-จอมพลประภาส และครอบครัว โดยสมาชิก สนช.หลายคนต้องการให้อาจารย์สัญญาใช้มาตรา 17 ยึดทรัพย์ทันที และถึงขั้นเสนอร่าง พ.ร.บ.ยึดทรัพย์ฯ กดดันอาจารย์สัญญา
แต่อาจารย์สัญญาในฐานะนักกฎหมาย ไม่อยากใช้อำนาจเผด็จการยึดทรัพย์จอมพลถนอมและคณะ จึงใช้วิธีตั้งกรรมการสอบสวนแทน
เมื่ออาจารย์สัญญา กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำร้องขอของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง การใช้มาตรา 17 จึงบังเกิดขึ้นใน 2 กรณี คือ การยึดทรัพย์จอมพลถนอมและครอบครัว กับการใช้มาตรา 17 เพื่อแก้ข้อพิพาทระหว่างชาวนากับนายทุนเจ้าของที่ดิน
สำหรับการยึดทรัพย์จอมพลถนอม กิตติขจร และเครือญาติ รัฐบาลสัญญาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาคณะหนึ่ง โดยตรวจสอบพบว่าจอมพลถนอม กับพวก มีทรัพย์สินรวม 434 ล้านบาทเศษ
สุดท้ายอาจารย์สัญญา ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 สั่งยึดทรัพย์จอมพลถนอม กับพวกไปเมื่อ 1 สิงหาคม 2517 ซึ่งภายหลังจากที่จอมพลถนอมสามารถกลับเข้าสู่ประเทศไทยได้ ก็ได้ทำการยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 17 ยึดทรัพย์ของตนและพวก ไม่มีผลใช้บังคับ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลฎีกา เมื่อ 29 ธันวาคม 2519 ก็ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจ “ถอดยศ” และการยึดทรัพย์ในทางการเมือง มิอาจทำได้รวดเร็วดังใจของมหาชน ทุกอย่างมีขั้นตอนทางกฎหมายและจังหวะโอกาสของเกมอำนาจด้วย