กรณี “บิ๊ก ปตท.” ยังไม่เร่งดำเนินการกับอดีตผู้บริหารบริษัทลูก ปตท.สผ. และพีทีทีจีอี ทั้งที่บอร์ดใหญ่สั่งให้ดำเนินการ วงในระบุงานนี้น่ามีบางอย่างที่ต้องสืบค้น เพราะอาจมี “ขั้วอำนาจเก่า” คุมอยู่
หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้แต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีบริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (พีทีทีจีอี) บริษัทลูกของ ปตท. ที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย แต่ภายหลังกลับพบว่า โครงการที่ไปลงทุนล้มเหลว ที่ดินที่ไปจัดซื้อมาดำเนินโครงการมีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนและอยู่ในเขตป่าสงวน ทำให้ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิทำโครงการได้ แถมยังพบด้วยว่ามีการจ่ายเงินค่านายหน้าสูงเกินจริง ยังความเสียหายให้แก่ ปตท.วงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น จากตรวจสอบข้อมูลพบว่า แม้กรณีดังกล่าวทางคณะกรรมการ (บอร์ด) ปตท.จะมีมติให้ฝ่ายบริหาร ปตท.และพีทีทีจีอี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับอดีตผู้บริหารพีทีทีจีอีไปแล้ว แต่ในส่วนของการดำเนินคดีทางอาญานั้น กลับพบว่าไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
โดยพบว่า ก่อนหน้านี้บอร์ด ปตท.และพีทีทีจีอี ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการนี้ จนพบความผิดของฝ่ายบริหารสร้างความเสียหายต่อ ปตท.ร่วม 2 หมื่นล้านบาท จึงมีมติให้เลิกจ้างอดีตผู้บริหารบริษัทลูก ปตท.สผ.คนดังกล่าว แต่จนถึงขณะนี้ ปตท.สผ.กลับไม่มีการดำเนินการ ยังคงอ้างว่า อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงใหม่ทั้งหมด น่าแปลกที่ทั้งบอร์ดและฝ่ายบริหาร ปตท.สผ.ยังคงประวิงเรื่องดังกล่าวเอาไว้ ทั้งที่ในบอร์ด ปตท.สผ.ก็มีคนของตนเองนั่งอยู่ด้วย
นอกจากนี้ยังพบว่า กรณีการลงทุนปลูกปาล์มในอินโดนีเซียดังกล่าว มีเรื่องที่ชวนสงสัยว่า มีข้าราชการและนักการเมือง ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงใน ปตท.หลายคนเข้าไปเกี่ยวข้อง และมีความพยายามจะตัดตอนความเสียหาย รวมทั้งตัดตอนความผิดที่เกิดขึ้นให้คนเพียงคนเดียว ทั้งที่น่าจะมีมากกว่านั้น โดยเฉพาะในส่วนของขั้วอำนาจเก่า
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2550-2555 บริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (พีทีทีจีอี) ของ ปตท.ที่จัดตั้งขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อลงทุนปลูกปาล์มและผลิตน้ำมันปาล์มและโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบในประเทศอินโดนีเซีย มีโครงการลงทุน 5 โครงการ ประกอบด้วย PT Az Zhara, PT MAR, PT FBT, PT SHS และ PT KPI โดยรูปแบบการลงทุนนั้น เป็นการเจรจากับบุคคลในท้องถิ่นซึ่งมีบริษัทส่วนตัวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงต่างๆ และทำข้อตกลงซื้อขายหุ้น เพื่อให้ ปตท.เข้าไปถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อปลูกปาล์ม โดยบริษัท ปตท.ได้ดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจาก ปตท.สผ. เข้ามาบริหาร พีทีทีจีอี เพื่อดูแลโครงการลงทุนดังกล่าว
แต่ภายหลังมีการตรวจสอบพบว่า โครงการที่ไปลงทุนมีความผิดปกติ ฝ่ายจัดการดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบและกระบวนการ โครงการมีความเสี่ยง และไม่ใช่โครงการที่น่าลงทุน ทำให้ ปตท.ต้องจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบ และพบว่า พื้นที่ไม่เหมาะสม เช่น อยู่ไกล มีปัญหาพื้นที่ทับซ้อน และคุณสมบัติไม่เหมาะสม เป็นโครงการที่มีความเสี่ยง ไม่เหมาะสมที่จะลงทุน ราคาที่ดินที่ขายให้แต่ละแปลงมีเงื่อนไขและสภาพที่แตกต่างกันทั้งที่เป็นแปลงเดียวกัน
ที่สำคัญ เมื่อนำเสนอโครงการต่อบอร์ดพีทีทีจีอีไม่ได้รับความเห็นชอบ ก็กลับมีความพยายามนำเสนอใหม่จนได้รับความเห็นชอบ ซึ่งเมื่อไปตรวจสอบในภายหลังกลับพบว่า ฝ่ายบริหารมีการไปเจรจาเงื่อนไขเพิ่มเติมแตกต่างไปจากกรอบที่ได้รับความเห็นชอบจากที่บอร์ดอนุมัติไว้ นอกจากนี้ยังก่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ในโครงการ PT MAR โดยผู้ร่วมลงทุนเป็นนักการเมืองท้องถิ่นอีก ก่อนที่คณะทำงานตรวจสอบโครงการจะสรุปความเสียหายจากการลงทุนในโครงการนี้ ยังผลทำให้ ปตท.เสียหายไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้บอร์ด ปตท.จะมีมติให้เลิกจ้างอดีตผู้บริหารไปตั้งแต่ 27 มิถุนายน 2557 แต่จวบจนถึงปัจจุบัน ปตท.สผ.กลับยังไม่มีการดำเนินการใดๆ โดยอ้างว่า อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงใหม่ทั้งหมด แต่ในเชิงลึกเป็นที่รับรู้กันว่า ความเสียหายที่ ปตท.เจ๊งไป 2 หมื่นล้านจากโครงการปาล์มอินโดนีเซียนั้น ต้องมีการไล่เบี้ยหาคนรับผิดและคงไม่หยุดแค่อดีตผู้บริหารคนเดียวเท่านั้น
แต่งานนี้คงต้องสาวลึกไปถึง "ขั้วอำนาจเก่า” ที่อยู่เบื้องหลัง คงหนาวๆ ร้อนๆ กันแน่