คอลัมนิสต์

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

17 มิ.ย. 2558

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว : ขยายปมร้อน โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ สำนักข่าวเนชั่น

              เมื่อ คณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติร่วมกันให้แก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติต้องสิ้นสุดลงทันทีที่พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น และจากนั้นจะตั้ง “สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ” ขึ้นมาแทน โดยเปิดทางให้ สปช. สามารถมีโอกาสกลับเข้ามาสู่สภาได้อีกครั้ง
    
              มองได้ไม่ยากว่านี่คือการ “โละ” สปช. เพื่อตั้งใหม่ และเป็นการกระชับอำนาจหลังจากที่ผ่านมา สปช. นั้นค่อนข้างมีปัญหาในการทำงานหลายๆ อย่าง บางคนมีลักษณะคล้ายนักการเมืองหาเสียง และที่สำคัญเห็นไม่สอดคล้องกับผู้มีอำนาจในหลายๆ เรื่อง จนสร้างความอึดอัดใจและลำบากใจให้บางครั้ง
    
              แต่เมื่อมีการทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าจากนี้ไปใครที่เคยแตกแถว ทำงานไม่เข้าตา หากอยากมีตำแหน่งหน้าที่ต่อไปก็ต้องกลับเข้าสู่แถวอย่างมีระเบียบวินัย หากอยากจะกลับมามีตำแหน่งใน “สภาขับเคลื่อนการปฏิรูป” อีกครั้ง
    
              และแน่นอนว่าการตัดสินใจเช่นนี้ก็ทำให้เห็นแรงกระเพื่อม ออกมาจากกลุ่ม สปช. โดยเฉพาะจากกลุ่มที่หวัง “อยู่ต่อ” ต่างก็พยายามแสดงผลงานในรูปแบบต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นยากระตุ้นได้อย่างดี
    
              แต่ก็ยังมีอีกบางจำพวกที่อยากอยู่ต่อและใช้การกระทำที่เรียกว่า “เตะตัดขา” เพราะตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดว่า สมาชิกสภาขับเคลื่อนฯ จะมีได้แค่ 200 คน จากเดิมที่ สปช. มีถึง 220 คน และที่สำคัญใน 200 คนที่จะถูกตั้งเข้ามานั้นตามคำให้สัมภาษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่าง “วิษณุ เครืองาม” ก็จะมีคนใหม่เข้ามาด้วย โดยเขาระบุว่า “ส่วนหนึ่งเอามาจาก สปช. และอีกส่วนหนึ่งเอามาจากคนนอก โดยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 ก็มีโอกาส” แปลความง่ายๆ ว่ามี สปช. เป็นจำนวนมากจะหลุดจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้คนใหม่
    
              บางคนออกมาโจมตีเพื่อนสมาชิก อย่าง "อมร วาณิชวิวัฒน์“ หนึ่งในสมาชิก สปช. ได้ออกมาระบุว่า  "สาเหตุที่ต้องมีการเขย่าขวด สปช.นั้น เนื่องจาก สปช.ส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 60 ปี ถือว่าสภาพร่างกายมีปัญหา และบางบุคคลเป็นข้าราชการประจำ มีภารกิจมากจนไม่มีเวลาประชุม เท่าที่ทราบสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศนั้น กำหนดอายุขั้นต่ำ 35 ปี ชัดเจนว่าเขาอยากได้คนที่มีกำลังวังชาเข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า สปช.ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ แต่ผลงานยังมีข้อบกพร่อง เพราะการอภิปรายในสภามีดราม่าเยอะเหมือนสภาการเมือง โดยเฉพาะการพูดถึงผลประโยชน์ในพื้นที่ของตนเอง ไม่ต่างจาก ส.ส.บางคนพูดแต่เรื่องธุรกิจของตนเอง หรือบางคนไม่ได้พูดอะไรเลยแต่ชอบย้ายที่นั่งเพื่อได้ออกทีวี"
    
              ร้อนถึงหลายคนต้องออกมาตอบโต้คำพูดของเขา  ซึ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะมีผลต่อการตัดสินใจในการจะให้ใครอยู่ต่อไป
    
              นอกจากนี้การแก้เช่นนี้ยังมีผลกระทบหลักทางการเมืองตามมาคือ มี สปช.บางกลุ่มออกมาตั้งคำถามถึงร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องพิจารณา รวมไปถึงความพยายามเสนอให้คว่ำร่าง โดยให้เหตุผลว่าร่างรัฐธรรมนูญฝีมือ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” และคณะยังไม่ดีพอ
    
              ซึ่งเรื่องดังกล่าวมองได้หลายมุมคือ “ร่างรัฐธรรมนูญ” มีปัญหาจริงๆ ทำให้เมื่อไม่มีพันธนาการเรื่องจะต้องตายตกตามกันอีกต่อไป ก็สามารถทำให้พิจารณาได้อย่างเป็นอิสระไม่ต้องคำนึงเรื่องใด  
    
              ขณะที่บางกลุ่มนั้นอาจจะเป็นเพราะไม่พอใจการกระทำเช่นนี้ของผู้มีอำนาจทำให้ออกมาโจมตีร่างรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่  
    
              และอีกบางคนที่พยายามอ่านใจและจะจัดให้ “รัฐบาล” ได้อยู่ต่อในอำนาจ โดยเชื่อว่าหากคว่ำร่างฯได้ก็เปิดโอกาสให้รัฐบาลได้อยู่ต่อโดยไม่ต้องไปลุ้นเรื่องทำประชามติ และเชื่อว่าหากทำงานได้เข้าตาก็มีสิทธิที่จะได้ทำงานต่อไปภายใต้ร่มเงารัฐบาลนี้
    
              และจากการทำเช่นนี้ก็ส่งผลถึงกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเช่นกัน จากเดิมที่เชื่อมั่นว่าอย่างไรรัฐธรรมนูญก็ผ่านการพิจารณาของ สปช. และมีจุดยืนที่แข็งกร้าว แต่มาถึงวันนี้ท่าทีเช่นว่ากลับไปเปลี่ยนไป เพราะไม่มีหลักประกันอะไรอีกแล้วว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบของ สปช. แน่ๆ ทำให้พวกเขาต้องมีท่าทีที่อ่อนลงและพร้อมปรับเปลี่ยนเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญหลายประการ
    
              ซึ่งการพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเช่นนี้ก็คงทำให้รัฐบาลสบายใจไม่น้อย และหากกรรมาธิการยังไม่ยอมปรับเปลี่ยน ก็ยังมีอีกหลายไม้ให้เช่นไม่ว่าจะเป็นคว่ำร่างเสียตั้งแต่ชั้น สปช. หรือในชั้นประชามติ
    
              การใช้วิธีนี้ทำให้รัฐบาลกลับมากุมอำนาจได้ทั้งใน สปช. และกรรมาธิการยกร่างฯ อีกครั้ง เรียกได้ว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” และกุมความได้เปรียบในทุกประตู