
ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์
ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ : ขยายปมร้อน โดยศรุติ ศรุตา
สำนวนไทยที่ว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" หมายถึงการปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องตามราว ประมาณว่าช่างหัวมันเถอะ แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ เรื่องสงฆ์ เรื่องชี เป็นเรื่องใหญ่ใกล้ตัวที่แม้เราจะไม่เอามาเป็นธุระ แต่ก็คงจะไม่ถึงขั้นไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะผลกระทบจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นกระทบต่ออนาคตของพุทธศาสนาที่มีคำทำนายว่า นี่ก็เกินกึ่งพุทธกาลมาแล้ว
ก็ให้นึกย้อนไปถึงเพลงยาวอยุธยาที่เนื้อหาเป็นคำทำนายความเป็นไปของอยุธยาตั้งแต่รุ่งเรืองจนกระทั่งล่มสลาย โดยเฉพาะในช่วงที่ล่มสลายนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
สันนิษฐานว่าเพลงยาวนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นักวิชาการยังไม่อาจสรุปแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง แม้ว่าในตอนท้ายของบทกลอนได้บันทึกกำกับไว้ว่า "พระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนาย..." หากว่าเป็นจริงตามนั้น "พระนารายณ์" ก็หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วน "นพบุรี" คือเมืองลพบุรี
เนื้อหาตอนหนึ่งของเพลงยาวอยุธยานั้นระบุถึงบทบาทผู้ทรงศีล ที่ความจริงแล้ว น่าจะเป็นหลักเป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้ผู้คนเชื่อมั่นศรัทธา และนำพาชีวิตให้อยู่ในสังคมอย่างปกติสุข
.....................
ในลักษณ์ทำนายไว้บ่ห่อนผิด
เมื่อวินิศพิศดูก็เห็นสม
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม
มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด
มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น
มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด
เกิดวิบัตินานาทั่วสากล
เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา
จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน
มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก...
จะเห็นได้ว่า ความผิดเพี้ยนไม่ได้เพียงแต่เกิดกับพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้แต่เทวดาซึ่งรักษาศาสนา ก็กลับไปดูแลฝ่ายที่เป็นอกุศล
แทบไม่ต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ความผิดเพี้ยนในส่วนตัวบุคคล กำลังมีคน มีคณะดึงเรื่องราวที่มีการวินิจฉัยไว้แต่แรกแล้วว่า ขัดต่อพระธรรมวินัยไปวินิจฉัยใหม่ ภายใต้เหตุผลว่าขาดซึ่งเจตนา
ทำราวกับว่า กำลังวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอาญา หาใช่การพิจารณาการกระทำนั้นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัยหรือไม่
จะว่าไป บ้านเราเมืองเราก็มีองค์กรที่มาดูแลคณะสงฆ์ทั้งหมด เรียกว่า มหาเถรสมาคม เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2535 (ฉบับที่ 2) ประกอบไปด้วย สมเด็จพระสังฆราช หรือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธานโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการ และพระราชาคณะ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งไม่เกินสิบสองรูป เป็นกรรมการ
พระสงฆ์ที่มีพรรษาเกินกว่าจะถูกเรียกว่า "พระเถระ" ก็คือ "พระผู้ใหญ่" ขณะที่ พระสงฆ์เจ้าคณะใหญ่ และพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ตำแหน่งต่างๆ จะเรียกว่า "มหาเถระ" เมื่อมหาเถระมาประชุมกันเพื่อถวายคำปรึกษาแก่พระมหากษัตริย์ ตามที่ทรงปรึกษา ที่ประชุมนั้นเรียกว่า "มหาเถรสมาคม"
ในแง่ของกฎหมาย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ หน้าที่ส่วนหนึ่งของมหาเถรสมาคม หรือหน้าที่ของพระผู้ใหญ่ ก็ต้องดูแลคณะสงฆ์ไทย ว่าได้ประพฤติปฏิบัติเป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือไม่ ควรแก่สมณสารูปหรือเปล่า
กรณีที่เกิดขึ้นและมีการวิพากษ์วิจารณ์มหาเถรสมาคม และน่าจะเกิดเรื่องราวบานปลายไปอย่างกว้างขวาง จนเรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ นั่นก็เพราะมีการตีความในเรื่องของพระธรรมวินัย ที่บัญญัติไว้ว่า การขาดจากความเป็นพระนั้นเกิดจากการต้องอาบัติปาราชิกที่มีอยู่ 4 อย่าง
ฝ่ายหนึ่งยืนยันว่า ขาดทันที ไม่ต้องดูที่เจตนา เพราะรู้อยู่แล้วว่า ปาราชิก 4 อย่างมีอะไรบ้างตั้งแต่เริ่มห่มจีวร
ขณะที่มติของมหาเถรสมาคมล่าสุดนั้นกลับบอกว่า หากขาดซึ่งเจตนา ในกรณีนี้เข้าประเด็นถือเอาทรัพย์ผู้อื่น เมื่อคืนทรัพย์แล้ว ก็ไม่มีความผิด
ตรงนี้นี่เองที่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ เกิดความไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อมั่น อันเป็นบ่อเกิดของความเสื่อมถอยซึ่งศรัทธา และไม่อาจปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์"