
ตำรวจของประชาชน?
ตำรวจของประชาชน? : โลกตำรวจ โดยปนัดดา ชำนาญสุข
ก่อนหน้านี้กรมตำรวจอยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชนตามโครงสร้างเดิม ซึ่งมีนักวิชาการและผู้ที่สนใจงานตำรวจจำนวนไม่น้อยได้ตั้งข้อสังเกตและท้วงติงว่า การที่ตำรวจอยู่ภายใต้การบริหารของกระทรวงมหาดไทยนั้น เป็นการบริหารที่ทำให้ตำรวจจำต้องทำงานโดยขาดอิสระและขึ้นตรงต่อนักการเมืองมากไป และนั่นคือที่มาของการปรับโครงสร้างตำรวจครั้งยิ่งใหญ่ในอดีต โดยให้ตำรวจขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรงและบริหารงานภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตำรวจ
ตำรวจต้องเป็นอิสระ ปลอดจากพันธนาการของนักการเมือง!!...นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่ข้อเรียกร้องใหม่ๆแต่อย่างใด
ข้อเรียกร้องเช่นนี้ให้ข้อคิดในแง่ที่ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิได้มีการใช้อำนาจตามขอบเขตแห่งบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบอย่างเต็มที่โดยอิสระเพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมได้ หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังถูกยึดโยงด้วยอำนาจที่เหนือกว่าภายนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจดังกล่าวนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการและการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรตำรวจ
ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์องค์กรตำรวจจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของอำนาจนอกองค์กรที่ทรงอิทธิพลในฐานะของ "มือที่มองไม่เห็น”ด้วย จึงจะกล่าวได้ว่า การวิพากษ์วิจารณ์นั้นมีความเป็นธรรมและเป็นไปเพื่อหาแนวทางในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาองค์กรตำรวจให้มีประสิทธิภาพในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา
“ในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา รัฐตำรวจไทยได้เข้มแข็งขึ้นมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยอำนาจที่กว้างขวางและวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมได้ทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจไทยตกต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นงานคู่แข่งทางการเมืองและผู้ต่อต้านรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด” นักวิชาการกล่าว
แทนที่จะตอบเพียงว่า ถ้อยคำที่นักวิชาการท่านนี้พูดเป็นความจริงหรือไม่? สิ่งที่ควรไตร่ตรองสะท้อนคิดมากกว่าคือ ทำไมตำรวจจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นงานคู่แข่งทางการเมืองและผู้ต่อต้านรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอ...สม่ำเสมอจนถึงปัจจุบัน?
จะมีทางออกเช่นใดที่จะทำให้ตำรวจไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเช่นนั้น?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า...หัวหน้าสถานีตำรวจจะถูกประเมินผลการปฏิบัติงานจากประชาชนในพื้นที่ผ่านการประเมินผล ซึ่งอาจทำในรูปแบบของการวิจัยเพื่อการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพโดยกองวิจัย ในสังกัดของกองแผนงานกิจการพิเศษ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ
“ผมอยู่ได้เพราะประชาชนในพื้นที่เขาไม่ยอมให้ผมย้าย” ผู้กำกับการสถานีตำรวจพูดด้วยความภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกจัดอันดับว่าเป็นพื้นที่เกรด เอ (พื้นที่เกรด เอ ในโลกของตำรวจมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความเจริญและเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงการเป็นพื้นที่ที่แหล่งธุรกิจสีเทาสีดำในพื้นที่ด้วย)
“จนถึงวันนี้ องค์กรตำรวจได้แผ่ขยายอำนาจอย่างมากในสังคมไทย จนกลายเป็นกองทัพที่ 4 ไปแล้วในโครงสร้างอำนาจของประเทศ ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด และหากสังคมไทยมีธุรกิจสีเทามากถึงกว่าครึ่งของจีดีพีประเทศ ตำรวจไทยในฐานะผู้มีอำนาจสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี ก็ย่อมมีผลประโยชน์หรือได้ส่วนแบ่งไม่มากก็น้อย” นักวิชาการผู้อ้างว่าเคยไปดูงานเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อสังเกตถึงอำนาจและผลประโยชน์ของตำรวจไทยกับธุรกิจที่ไม่ถูกกฎหมาย
หากอำนาจของตำรวจไทยได้แผ่ขยายอย่างมากเกินจำเป็นจริงดังว่า และอำนาจดังกล่าวเป็นที่มาของการมีส่วนได้ (โดยไม่น่าจะมีส่วนเสีย) ในผลประโยชน์ของธุรกิจสีเทาสีดำจริงดังที่นักวิชาการคนเดียวกันว่าแล้วนั้น นักวิชาการท่านนี้จึงได้เสนอความเห็นว่า "เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแยกอำนาจสืบสวนและสอบสวนออกจากกันอย่างชัดเจนในโลกการทำงานของตำรวจไทย” เช่นเดียวกับที่ระบบตำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกาทำ!! จึงจะทำให้อำนาจของตำรวจไทยไม่มากเกินไป โดยเชื่อว่าอำนาจที่ไม่มากเกินไปจะทำให้การใช้อำนาจมีขอบเขต เกิดความเป็นธรรมในการใช้อำนาจ และทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจในสายตาของประชาชนก็จะดีขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา?
แต่มีสิ่งที่ชวนสังเกตและตั้งคำถามต่อข้อความที่นักวิชาการท่านเดียวกันกล่าวไว้ว่า
“แน่นอนว่า ภาพลักษณ์ตำรวจที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ดีนักในสายตาประชาชน แต่กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพ มีการแยกอำนาจสืบสวนสอบสวนออกจากกันอย่างชัดเจน และมีการทำงานโดยใช้นิติวิทยาศาสตร์เป็นหลักในการทำงาน”
นั่นหมายความว่า ตำรวจสหรัฐเอมริกาประสบความล้มเหลวในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาประชาชน ถึงแม้ว่าจะมีความชัดเจนอย่างมากของการแยกขาดระหว่างอำนาจการสืบสวนและอำนาจการสอบสวน อีกทั้งตำรวจสหรัฐอเมริกายังมีความเข้มแข็งของการนำหลักนิติวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อพิสูจน์ความยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตำรวจไทยหลายเท่านัก
นี่ขนาดว่าตำรวจอเมริกันมีต้นทุนที่ดีกว่าตำรวจไทยมากมาย แต่คนอเมริกันก็ยังเกลียดตำรวจอยู่ดี
แล้วอย่างนี้จะให้ตำรวจไทยที่มีต้นทุนแสนต่ำ อีกทั้งยังถูกรั้งยึดโยงด้วยพันธการที่แน่นหนาจากระบบการเมืองน้ำเน่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้แล้ว จะให้ภาพลักษณ์ตำรวจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร?
คงมีทางเดียวที่จะต่อสู้เพื่อกู้ภาพลักษณ์ที่ดีให้ปรากฏแก่สายตาของสังคมอย่างได้ผล นั่นคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องปรับยุทธศาสตร์ในการทำงานเสียใหม่ ด้วยการยึดโยงกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้มากขึ้นในสัดส่วน 70 : 30 กับความปลอดภัยของฝ่ายการเมือง ส่วนคุณตำรวจจะหาญกล้าที่จะปรับหรือไม่นั้น ไม่ต้องถามตำรวจคนไหนเลย เพียงแค่ถาม ผบ.ตร.ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในแต่ละยุคคนเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว !!!