
เกาะกระแสร้อนไอซิสไทยไม่ใช่พื้นที่เป้าหมาย
เกาะกระแสร้อนไอซิส ไทยไม่ใช่พื้นที่เป้าหมาย : ตะลุยกองทัพ โดยทีมข่าวความมั่นคง
โศกนาฏกรรมเหตุการณ์ชายชาวอิหร่านจี้จับตัวประกันที่นครซิดนีย์ ทำให้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับลัทธิเลียนแบบกลุ่ม ISIS (Islamic State of Iraq and Syria) หรือรัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย โดยเฉพาะหลังการเผยแพร่รายงานของกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา เรื่องการทรมานนักโทษใน "คุกลับ" ของซีไอเอ ทำให้หลายประเทศทั่วโลกเกิดความตื่นตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ดร.ศราวุฒิ อารีย์ รองผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่ล่าสุด โดยมองว่า เหตุการณ์ล่าสุดน่าจะเป็น "ปัญหาภายใน" ของออสเตรเลียมากกว่า
เขามองว่า ชายคนดังกล่าวน่าจะได้รับแรงกดดันจากคดีที่ได้รับ หรือจากวิธีปฏิบัติที่มีต่อผู้อพยพชาวตะวันออกกลาง ส่วนการชูธงกลุ่มไอซิสก็ไม่ได้หมายความว่า ชายคนนี้ปฏิบัติตามแนวทางของกลุ่มไอซิส เพราะไม่ปรากฏว่าเขาเคยไปร่วมต่อสู้ที่ตะวันออกกลาง แต่น่าจะต้องการให้เป็นข่าวระดับโลกมากกว่า
"ตามข่าวเขาเป็นผู้อพยพชาวอิหร่าน และน่าจะเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอิหร่านที่เป็นชาวชีอะห์ จึงอาจจะต้องการยืมมือกลุ่มไอซิสเพื่อต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะฝักใฝ่หรือเป็นกลุ่มไอซิส"
อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญกับกระแสไอซิส เพราะมีพลเมืองออสเตรเลีย 150-160 คน ไปร่วมรบกับกลุ่มไอซิสในอิรักและซีเรีย โดยออสเตรเลียได้จับตาเรื่องนี้มา 2-3 เดือนแล้ว เนื่องจาก 1-2 เดือนก่อน มีชายชาวออสเตรเลียโพสต์คลิปข่มขู่ประธานาธิบดีของออสเตรเลียว่าจะกลับมาต่อสู้ในออสเตรเลีย และเอาธงไอซิสเข้ามาโบกสะบัด
ดร.ศราวุฒิ มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับกระแสเกลียดกลัว และเหยียดผิวต่อชาวมุสลิม และชาวเอเชียหลังเหตุการณ์ 9/11 เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งมีเหตุการณ์โจมตีทำร้ายชาวมุสลิม และชาวเอเชียในโลกตะวันตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้อพยพได้รับแรงกดดันมาก ส่วนเหตุการณ์ล่าสุดน่าจะเป็นเรื่อง "ส่วนบุคคล" เรื่องคดี และแนวคิดทางการเมืองของผู้ก่อเหตุ
เมื่อมองถึงความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์โจมตีต่อเป้าหมายชาวตะวันตกในประเทศไทย หรือความเสี่ยงที่จะทำให้เหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหลังการเผยแพร่รายงานเรื่องคุกลับของซีไอเอเขาไม่เชื่อว่าไทยจะตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี เพราะไทยไม่ใช่พื้นที่เป้าหมาย
"เรื่องคุกลับมีมานานแล้ว ซึ่งชาวมุสลิมมองว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อเป็นรายงานของวุฒิสภาสหรัฐทำให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และน่าจะทำให้กลุ่มมุสลิมสุดโต่งมีปฏิกิริยา ซึ่งกลุ่มมุสลิมสุดโต่งในเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งในภาคใต้ของไทยมีเป็นส่วนน้อย แต่ก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะเป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดความไม่สงบ"
ดร.ศราวุฒิ เชื่อว่า ข่าวเรื่องคุกลับ หรือกลุ่มไอซิส น่าจะมีผลต่อความไม่สงบในภาคใต้ไม่มาก เพราะปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาระดับท้องถิ่นที่เกิดจากการกดทับด้านอัตลักษณ์ และความอยุติธรรมที่บ่มเพาะมานาน ส่วนกระแสไอซิสเป็นเรื่องของการตั้งรัฐอิสลาม ซึ่งมีการใช้ความรุนแรงเข้าปฏิบัติการ ทำให้มุสลิมส่วนใหญ่ รวมทั้งในเอเชียอาคเนย์ไม่สนับสนุนแนวทางนี้
ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยมองกระแสเรื่อง "คุกลับ" ในไทยที่เกิดขึ้นหลังจากรายงานของวุฒิสภาสหรัฐว่า กระแสข่าวเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2550 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มีการพุ่งเป้าไปที่กองบิน 23 จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานีวิทยุ VOA หรือ Voice of America แต่เมื่อกองทัพอากาศเปิดพื้นที่ให้ตรวจสอบก็ไม่พบคุกลับแต่อย่างใด
เขาชี้ว่า โดยทั่วไปแล้วสถานที่ที่เป็นที่ตั้งของคุกลับเพื่อรีดเค้นข้อมูลจากผู้ต้องสงสัยกลุ่มก่อการร้ายมักจะเป็น "ประเทศใหญ่" ที่สหรัฐให้ความเชื่อมั่นเท่านั้น ที่สำคัญสถานที่ที่ใช้เป็นคุกลับมักจะอยู่ในอ่าว หรือเป็นเกาะกลางทะเลเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะสถานที่ที่สามารถจอดเครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์ เผื่อให้มีการเคลื่อนย้ายในยามฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว
สุดท้ายแล้ว เขามองว่า ข่าวคุกลับรอบล่าสุดเป็นเรื่อง "การเมืองภายใน" ของสหรัฐมากกว่า เพราะใกล้ที่จะเกิดการเลือกตั้งรอบใหม่ของสหรัฐแล้ว แต่ไทยกลับต้องมาเจอหางเลขด้วย ซึ่งแนวทางตอบโต้ของรัฐบาลไทยคงไม่สามารถทำอะไรได้มาก นอกจากการทำหนังสือชี้แจงไปยังสถานทูต รวมถึงการให้เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ และผู้ช่วยทูตทางทหารช่วยชี้แจงอีกทางหนึ่ง