คอลัมนิสต์

ครม.ประยุทธ์สื่อตรงถึงทักษิณ

ครม.ประยุทธ์สื่อตรงถึงทักษิณ

26 ส.ค. 2557

ครม.ประยุทธ์สื่อตรงถึงทักษิณ : ขยายปมร้อนโดยศรุติ ศรุตา

                ในที่สุดวันที่หลายคนเฝ้ารอก็มาถึง เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนภายหลังจาก สนช.ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

                น่าสนใจว่า ในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มนับหนึ่งในการบริหารประเทศภายใต้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คิดอย่างไร หรือจะเอาอย่างไร

                เพราะจะไปวัดเอาจากการแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กของ จักรภพ เพ็ญแข ที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดูจะไม่มีน้ำหนักเท่าใดนัก เพราะจักรภพก็คงจะไม่มีความเห็นในลักษณะชื่นชมยินดีเป็นแน่

                สำหรับความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงนี้ หน่วยงานด้านการข่าวระบุว่า เปลี่ยนสถานที่พำนักมาใกล้ๆ ประเทศไทยแล้ว ความเคลื่อนไหวล่าสุดน่าจะอยู่ที่ฮ่องกง

                การเปลี่ยนที่พำนักมาในย่านนี้ อาจไม่มีความหมายอะไร แต่ในการประเมินสถานการณ์แล้ว จำเป็นต้องหาคำตอบ หรือหาเหตุผลมาอธิบาย "เบื้องหลังของพฤติกรรม" เหล่านั้น

                กระแสข่าวระบุว่า นั่นเป็นเพราะผิดหวังต่อท่าทีของเหล่านายทหารใน คสช.ที่ไม่ตอบรับต่อประเด็น "นิรโทษกรรม" ที่พยายามโยนหินถามทางในก่อนหน้านี้

                โดยเฉพาะ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม น้ำเสียงที่ออกมาไม่เพียงแค่ปฏิเสธ หากแต่ฟังได้ชัดเจนว่า ไม่มีการพูดคุยกันในเรื่อง "นิรโทษกรรม" และคดีความที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วก็ให้เดินไปตามครรลองของมัน

                จึงต้องไปลุ้นเอาเองว่า "สภาปฏิรูปแห่งชาติ" ที่อยู่ระหว่างการสรรหานั้น จะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญ อย่างที่ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ที่เคยพูดไว้ในก่อนหน้านี้หรือไม่ และถ้านำขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญแล้ว จะนิรโทษกรรมยาวไปจนถึงเหตุการณ์ชุมนุมก่อนปี 2549 ด้วยหรือไม่

                เป็นเรื่องที่ยากจะคาดหวังได้จริงๆ !

                ถึงแม้ในวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตนายทหารที่ได้ชื่อว่า เป็น "มือประสานสิบทิศ" เป็นพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ และเป็นประธานที่ปรึกษา คสช. มีบารมีมากพอที่ว่ากันว่า สนช.ที่เป็นเอกภาพอยู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะบารมีของ "พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์" ผู้นี้

                แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณบวกจาก "ตัวเชื่อมพิเศษ" นี้ได้

                ถึงแม้ พล.อ.ประวิตร จะเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในช่วงที่พรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้หมายว่าเรื่องราวจะเป็นไปตามสิ่งที่วาดหวัง

                การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นตัววัดที่สำคัญว่า เอาเข้าจริงแล้วบารมีของพี่ใหญ่นั้น ครอบคลุมไปทุกทิศทางอย่างที่คิดกันไปก่อนหน้านี้หรือไม่

                เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ภายใน คสช.เองก็มุ่งหวังให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ศักยภาพความเป็นผู้นำอย่างเต็มที่

                ไม่ต้องการเดินย่ำรอยการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แบกความรับผิดชอบใส่เต็มหลัง แต่กลับโยนอำนาจการบริหารประเทศไปให้คนอื่น และเมื่อการยึดอำนาจไม่ได้บรรลุเป้าหมาย หากแต่กลับเพิ่มความขัดแย้งให้รุนแรง และเปิดเผยมากขึ้น นั่นจึงทำให้ พล.อ.สนธิ หลีกหนีความรับผิดชอบไม่ได้

                เช่นเดียวกับน้องๆ ที่เคยร่วมหัวจมท้ายในช่วงนั้นด้วย !

                หน้าตาและที่มาของรัฐมนตรี ที่น่าจะได้เห็นกันไม่เกินสิ้นเดือนนี้ จึงมีความหมายมากกว่า "เนื้องาน" ที่จะต้องเข้ามาคลุกวงในเพื่อฉุดประเทศขึ้นจากหล่มเหวให้ได้เท่านั้น

                ภาวะความเป็นผู้นำที่แท้จริงจะฉายชัดหรือไม่ ก็ในจังหวะนี้


................

(หมายเหตุ : ครม.ประยุทธ์สื่อตรงถึงทักษิณ : ขยายปมร้อนโดยศรุติ ศรุตา)