คอลัมนิสต์

'เครือข่าย วปอ.':พื้นที่การเมืองใหม่

'เครือข่าย วปอ.':พื้นที่การเมืองใหม่

03 ก.ค. 2557

'เครือข่าย วปอ.':พื้นที่การเมืองใหม่ : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา

                 เมื่อ 2 ปีก่อน อาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร ได้เปิดเผยโครงการวิจัย "สู่สังคมไทยเสมอหน้า การศึกษาโครงสร้างความมั่งคั่งและโครงสร้างอำนาจเพื่อการปฏิรูป" ซึ่งต้องการนำเสนอความเหลื่อมล้ำที่มีหลายมิติ และเน้นถึงความเหลื่อมล้ำด้านโครงสร้างการเมือง การคงอยู่และปรับตัวของการเมืองที่เรียกว่า คณาธิปไตย

                 ทศวรรษ 2470 จนถึงทศวรรษ 2520 ชนชั้นนำทหารพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ครั้นเมื่อเศรษฐกิจเมืองเฟื่องฟูสมัยพัฒนาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชนชั้นนำฝ่ายธุรกิจสมัยใหม่ได้เข้าร่วมขบวน ต่อมาเมื่อความมั่งคั่ง และการคมนาคมสมัยใหม่กระจายสู่ต่างจังหวัดยึดโยงเขตรอบนอกเข้ากับกรุงเทพฯ นักธุรกิจชั้นนำระดับภูธรก็ได้เข้าร่วมขบวนและเมื่อไม่นานมานี้เอง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระบวนการตุลาการก็ได้เข้าร่วมขบวน

                 อาจารย์ผาสุก ยกตัวอย่างงานวิจัยของ นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นำเสนองานวิจัยเรื่อง "เครือข่ายผู้บริหารระดับสูง" ซึ่งจัดทำร่วมกับ ภาคภูมิ วาณิชกะ

                 ในงานวิจัยของ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ เป็นข้อค้นพบว่าด้วยกลไกที่โยงนักวิชาชีพระดับกลางและสูงในภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกันและกับบุคคลระดับนำของสังคมไทยในภาคการเมือง ธุรกิจ และข้าราชการระดับสูงทั้งทหารและพลเรือนผ่านการเข้าฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นสำหรับผู้บริหารระดับสูงและการทำกิจกรรมร่วมกัน

                 หลักสูตรดังกล่าวแบ่งออกได้เป็นหลักสูตรที่จัดโดยหน่วยงานรัฐ ได้แก่ วปอ. วปม. และ ปรอ.ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร กระทรวงกลาโหม

                 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2498 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยเปิดการศึกษาเฉพาะผู้บริหารชั้นสูงของฝ่ายทหารและพลเรือนเท่านั้น

                 ปี 2532 วปอ.จึงเปิดหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) ขึ้นมาอีกหลักสูตรหนึ่ง เพื่อให้นักธุรกิจระดับเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารได้เข้ารับการศึกษาร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ

                 และปี 2546 เปิดหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) โดยรับนักการเมืองเพิ่มเข้ามา

                 บ.ย.ส.ของวิทยาลัยการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม พ.ต.ส.ของสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง และหลักสูตร ปปร.ของสถาบันพระปกเกล้า

                 ส่วนที่บริหารจัดการโดยภาคเอกชนประกอบด้วยหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าการพาณิชย์ (TEPCOT) ของหอการค้าไทย

                 ผู้บริหารระดับสูงที่เข้าอบรมได้แก่ นักธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ทหาร ตำรวจ ผู้พิพากษา อัยการ องค์กรอิสระ สื่อมวลชน และนักวิชาการ ส่วนใหญ่ มีข้อกำหนดให้เป็นผู้บริหารระดับสูงที่อายุ 40-45 ขึ้นไป เช่น ระดับปลัดกระทรวง อธิบดี หรือผู้ที่มีศักยภาพจะเป็นใหญ่เป็นโตต่อไป นักการเมืองระดับรัฐมนตรี นายทหารระดับนายพลที่อาจจะเกษียณแล้ว แต่มีบทบาททางการเมือง นักธุรกิจหรือผู้บริหารระดับนำของบริษัทธุรกิจ

                 แทบทุกหลักสูตรให้ความสำคัญกับการหลอมละลายความคิด หรือพูดง่ายๆ ว่า "ความเป็นพวกเดียวกัน" ผ่านกิจกรรมระหว่างการอบรม กิจการสร้างความคุ้นเคยการเกาะเกี่ยวกัน เช่น การรับน้องใหม่การเลี้ยงกันภายในรุ่น และระหว่างรุ่น เป็นระยะๆ ที่สม่ำเสมอ การเข้าร่วมกิจกรรมของสมาคมศิษย์เก่า การไปดูงานต่างประเทศ

                 อาจารย์นวลน้อยตั้งคำถามว่า การรวมตัวของบุคคลชั้นนำผ่านหลักสูตรเหล่านี้จะก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจชนชั้นนำมากขึ้นหรือไม่ หรือจะเกิดในลักษณะที่สองคือ เป็นช่องทางให้กลุ่มทุนใหม่ที่เติบโตจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัว แทรกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ ซึ่งส่วนตัวแล้วเชื่อแบบที่สองมากกว่า

                 เหตุที่เขียนถึงงานวิจัยของอาจารย์นวลน้อย เพราะการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในยุค คสช.ครองอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้าราชการ หรือการแต่งตั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจ มีคนพูดถึง "เพื่อนร่วมรุ่น วปอ." มากขึ้นเรื่อยๆ

                 โดยเฉพาะ "วปอ.รุ่น 50" และ "วปอ.รุ่น 51" นัยว่าเป็นที่มีการพูดถึงว่า ใกล้ชิดศูนย์อำนาจ คสช.มากที่สุด และนับจากนี้ไป ใครๆ ก็อยากเป็นเพื่อนกับนักศึกษา วปอ.ทั้งสองรุ่น