
เอา ไมเคิล แจ็กสัน คืนมา
หากจะมีศิลปินสักคนที่โด่งดังและอยู่ในความสนใจของชาวโลกติดต่อกันมาเป็นระยะเวลา 40 กว่าปี ศิลปินคนนั้นก็น่าจะเป็น ไมเคิล แจ็กสัน
นับตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ร่วมร้องเพลงกับพี่ๆ ในวง The Jackson 5 ในปี 1969 ที่หลายคนคงจะจดจำเสียงเพลง ABC ได้ดี แจ็กสัน ก้าวสู่การเป็นนักร้องเดี่ยว ในปี 1971 และเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เขาอย่างเต็ม ๆ ก็คือเพลง Ben ซึ่งประกอบภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน ในปี 1972 ที่ทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและตุ๊กตาทอง รวมทั้งทำให้เขาเป็น 1 ใน 3 ของศิลปินเดี่ยวที่มีอายุน้อยที่สุดซึ่งนำซิงเกิลแผ่นแรกขึ้นสู่อันดับยอดนิยม ส่วนศิลปินอีก 2 คน คือ สตีวี่ วอนเดอร์ และ ดอนนี่ ออสมอนด์
ช่วงทศวรรษ 1980 นับเป็นยุคทองของไมเคิล แจ็กสัน นับตั้งแต่เขานำอัลบั้ม Thriller ติดอันดับเพลงขายดีตลอดกาล ในปี 1982, ตามมาด้วยอัลบั้ม Bad ในปี 1987, Dangerous ในปี 1991 และ History ในปี 1995 ซึ่งความสำเร็จดังกล่าว ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ราชาเพลงป๊อป” เขาได้รับการจารึกชื่อในหอเกียรติคุณร็อก แอนด์ โรลล์ ถึง 2 ครั้ง ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊ค ว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในโลกบันเทิงตลอดกาล ได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 13 ครั้ง และนำแผ่นซิงเกิลขึ้นสู่อันดับหนึ่ง 13 แผ่น มากกว่านักร้องชายคนใดในยุคเดียวกัน และมียอดจำหน่ายแผ่นเสียงเป็นจำนวน 750 ล้านแผ่นทั่วโลก นอกจากเป็นนักร้องนักแสดงที่มีความสามารถสูงแล้ว แจ็กสันยังเป็นนักธุรกิจตัวยง เขาเคยกว้านซื้อลิขสิทธิ์เพลงของ “เดอะ บีทเทิล” มาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ และเคยแต่งงานกับมาเรีย เพรสลีย์ ลูกสาวของเอลวิส เพรสลีย์ นัยว่าเพื่อจะได้ครอบครองลิขสิทธิ์เพลงและสิทธิประโยชน์บางอย่างของเอลวิส
อย่างไรก็ตาม ชีวิตส่วนตัวของแจ็กสัน เป็นปริศนาที่ชวนฉงน ทั้งในเรื่องการทำศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงใบหน้าและฟอกสีผิวนับครั้งไม่ถ้วน การมีพฤติการณ์เบี่ยงเบนทางเพศ และการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย ซึ่งเรื่องหลังนี้เป็นคดีฟ้องร้อง ทำให้แจ็กสันต้องหายหน้าไปจากวงการนานถึง 10 กว่าปี ก่อนมีกำหนดจะหวนกลับมาเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่กรุงลอนดอนในปีนี้ แต่ในเที่ยงวันของวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ไมเคิล แจ็กสัน ก็เสียชีวิตในบ้านพักที่ลอสแองเจลิสด้วยอาการหัวใจวาย ขณะอายุได้ 50 ปี
สำหรับคนไทย สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้นึกถึงไมเคิล แจ็กสัน นอกจากท่าเต้นที่โลดโผนแล้ว ก็เห็นจะเป็นการที่เขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสงครามน้ำอัดลมในประเทศไทย กับทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ซึ่งหายไปจากปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ต่อมาในปี 2515 ศ.ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงพบชิ้นส่วนของทับหลังดังกล่าวตั้งแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะชิคาโก ทางการไทยจึงได้ขอให้สถาบันแห่งนั้นส่งคืน แต่การติดต่อก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก จนการบูรณะปราสาทหินพนมรุ้งเสร็จสิ้นลง และกำหนดจะเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2530 จึงก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืน ในหมู่คนไทยทั่วประเทศ
บังเอิญเหลือเกินว่า ตอนนั้น ไมเคิล แจ็กสัน เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาน้ำอัดลมยี่ห้อเป๊ปซี่เผยแพร่ไปทั่วโลก ขณะที่ในเมืองไทยทางโคคาโคล่าก็เป็นสปอนเซอร์ให้แก่วงคาราบาว และชูสโลแกน “โค้กส่งเสริมคุณค่าแห่งความเป็นไทย” ดังนั้น จึงเกิดเพลงของคาราบาวเพลงหนึ่งซึ่งมีสร้อยว่า “เอาไมเคิล แจ็กสัน คืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา” หลังจากที่เคยมีเพลงที่มีเนื้อหาบางตอนว่า “โกหกนั้นตายตกนรก แต่ว่าดื่มโค้กขึ้นสวรรค์” มาแล้ว คาราบาวมีกำหนดจะเปิดตัวเพลงนี้ในวันเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น อะไรจะเกิดขึ้นกับเป๊บซี่ในประเทศไทยก็สุดจะคาดเดา แต่ในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 2530 ชิ้นส่วนของทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ก็เหินฟ้าจากชิคาโกมาถึงประเทศไทย อย่างทันเวลาพอดิบพอดี ซึ่งงานนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป๊ปซี่ต้องใช้กำลังภายในขนาดไหน
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เวลาผ่านมา 11 ปีเศษ ผมไม่ทราบว่าคนไทยยังจดจำการเรียกร้องทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ในครั้งนั้นกันได้หรือไม่ และมีคนไปชื่นชมทับหลังที่ปราสาทหินพนมรุ้งกันสักกี่คน
หรือจะปล่อยปราสาทหินพนมรุ้งไว้ให้เป็นที่สำหรับใครที่ไหนก็ไมรู้ ไปทำพิธีอะไรก็ไม่รู้ ต่อไป