
ก้าวย่างกลางอัยการศึก
ก้าวย่างกลางอัยการศึก : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2557
การตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตามมาตรา 2 และ 4 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 เมื่อเช้ามืดวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ถือเป็นอีกย่างก้าวหนึ่ง ซึ่งต้องยอมรับว่า ยังนับเป็นสัญญาณที่ดีระดับหนึ่ง ที่ผู้บัญชาการทหารบกเลือกใช้ "เครื่องมือ" ที่มีอยู่ตามกฎหมาย ไม่ก้าวล่วงล้ำไปถึงการใช้อำนาจทางทหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพื่อหยุดยั้งในสิ่งที่ทุกฝ่ายล้วนคาดการณ์ตรงกัน ดังประกาศฉบับที่ 1 ที่ว่า สถานการณ์ที่มีกลุ่มชุมนุมทางการเมืองหลายกลุ่มทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์ความรุนแรงด้วยการใช้อาวุธสงครามต่อประชาชน และสถานที่สำคัญอย่างกว้างขวาง ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ จลาจล และความไม่สงบเรียบร้อยอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่
เมื่อจุดประสงค์ของการประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้ ต้องการยับยั้งการกระทำใดๆ ที่จะนำไปสู่ความรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์ ผู้มีอำนาจเต็มในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.) ย่อมต้องทราบมาก่อนหน้าว่า มาตรการระงับเหตุเฉพาะหน้านั้นยังไม่เพียงพอสำหรับสังคมไทยขณะนี้ ที่ความขัดแย้งแตกแยกได้บาดลึกไปทั่วทุกหัวระแหง ประเทศชาติจวนเจียนจะเป็นรัฐที่ล้มเหลวหรือเกิดสงครามกลางเมืองอยู่รอมร่อ จึงจำเป็นอยู่เองที่ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องขยับก้าวต่อไปเพื่อยุติเหตุใดๆ ที่จะชักนำไปสู่สถานการณ์ดังกล่าวอีกได้ ซึ่งก็คือการตั้งโต๊ะเจรจาร่วมกันของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น กปปส. นปช. รัฐบาลพรรคเพื่อไทย พรรคการเมืองทุกพรรค ภาคเอกชน ประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด หรือแม้กระทั่งนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายในสังคม โดยเร่งด่วนที่สุด
สำหรับปฏิกิริยาที่มีต่อการประกาศกฎอัยการศึก เมื่อจับกระแสจากฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง หรืออีกหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน ที่เป็นดั่งดัชนีชี้วัด "อารมณ์" ของสังคม พบว่าส่วนใหญ่ยังให้โอกาส และเฝ้าจับตากันอยู่ว่า ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยจะดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ระงับยับยั้งความรุนแรงที่กำลังจะเกิด และเยียวยาความแตกแยกต่อไปหรือไม่ อย่างไร แต่กระนั้น ณ เวลานี้ ถือว่าได้ กฎอัยการศึกได้หยุดยั้งสภาวะมิคสัญญีเอาไว้ชั่วขณะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะกระบวนการต่างๆ จะขับเคลื่อน
ในลำดับถัดไป สำหรับข้อเรียกร้องให้มีนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลคนกลาง เพื่อดำเนินการตาม "แผนที่ปฏิรูป" ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่ฝ่ายบริหารชั่วคราว เพื่อให้ "เครื่องจักร" ในด้านต่างๆ ของประเทศที่ชะงักงันอยู่นานหลายเดือนเดินหน้าต่อไปได้นั้น ถ้าหากทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกสรร ซึ่งแน่นอนว่า ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยจะต้องเข้าไปมีบทบาทในฐานะหางเสือ เพื่อให้กระบวนการนั้นบรรลุถึงฟากฝั่ง ถือเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งละเอียดอ่อนยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับตัวนายทหารที่เคยตกเป็นข่าวว่าจะเข้ามาเป็นนายกฯ คนกลางนั้น จะต้องระมัดระวังกับดักอำนาจทับซ้อนให้ดี เพราะหากเข้าไปอยู่ในสถานะของรัฐบาลเสียเอง ก็จะเสียความเป็นกลางและดุลยภาพอำนาจไปในทันที แม้จะได้ชื่อว่า นายกรัฐมนตรีคนกลาง ก็ตาม