
'เสม็ด อาศรมสาธนา และฤาษีหนุ่ม'
'เสม็ด อาศรมสาธนา และฤาษีหนุ่ม' : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา
การปรากฏตัวของ "อดีตพระยันตระ" สร้างความเกรียวกราวในสื่อทีวี และสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ระยะสั้นๆ แล้ว มันก็เงียบหายไป เนื่องจากคนรุ่นหลังจดจำเรื่องราวเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่ค่อยได้ ซึ่งต่างจากกรณี "เณรคำ" ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว
ตลอดช่วงเวลาที่หายไป อดีตพระยันตระใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐ และมีภาพข่าวให้เห็นบ้าง อดีตพระดังในนาม "วินัย ละอองสุวรรณ" เดินทางกลับมายังบ้านเกิดอย่างเงียบๆ และพำนักในอาศรมที่ปลูกสร้างภายในบ้านพักของน้องสาว ริมแม่น้ำปากพนัง เขตเทศบาลเมืองปากพนัง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยตั้งแต่เช้าวันที่ 24 เมษายน
คนรุ่นใหม่ที่สนใจใคร่รู้ เข้าไปค้นหาประวัติจากวิกิพีเดีย ก็จะทราบเพียงว่า "...ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช"
ห้วงเวลาที่ "ยันตระ" เป็นนักพรตนั้น ปัจจุบันหาข้อมูลอ่านไม่ได้ในโลกออนไลน์ นอกจากจะเข้าห้องสมุดไปหาหนังสือเก่าๆ มาอ่าน
โดยเฉพาะเรื่องราวของ "ชาญ อาศรมสาธนา" ศิลปินในตำนาน ผู้มีธรรมชาติเป็นวิญญาณและชีวิต
ในอดีตเขาเคยใช้ชีวิตโดดเดี่ยวบนเกาะอย่างฤาษี ที่บริเวณอ่าวเทียนของเกาะเสม็ด จ.ระยอง นานถึง 20 ปี จนกระทั่งทหารเรือได้ถอนกำลังออกจากเกาะในปี 2524 และกรมอุทยานแห่งชาติฯ เข้ามาประกาศพื้นที่บนเกาะเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ
"ฤาษีชาญ" หรือ ชาญ ฮวดสวัสดิ์ ศิลปินหนุ่มหน้าพระลาน หลงใหลในความงาม ความสงบเงียบของเกาะเสม็ด จึงทิ้งชีวิตนักศึกษาคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ไว้แค่ปี 2 แล้วก็หันมาใช้ชีวิตสันโดษในปี 2509
ตอนนั้น บนเกาะเสม็ด มีชาวบ้านอยู่รวมกันเพียง 15 ครัวเรือน แรกๆ "ชาญ" ไม่ได้คิดเป็นนักบวช หรือโยคี ตั้งใจทำงานศิลปะอย่างเดียว แต่ในใจนั้น เขาศรัทธาในชีวิตและผลงานของรพินทรนาถฐากูร และมหาตมะ คานธี
ปี 2514 ชาญได้ต้อนรับหนุ่มน้อยวัย 20 "วินัย ละอองสุวรรณ" ที่รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต จึงเลือกที่จะมาใช้ชีวิตอยู่กับรุ่นพี่ศิลปากร ต่อมาทั้งสองได้ร่วมกันสร้าง "อาศรมสาธนา" ใช้ชีวิตเป็นนักพรต ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน
เมื่ออาศรมสาธนาโด่งดัง บรรดาศิลปินหนุ่มหน้าพระลาน ต่างแวะมาเยี่ยมเยือนรุ่นพี่อยู่บ่อยๆ แถมกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ของศิลปากร ก็มาจัดที่เกาะเสม็ด หากใครเคยอ่านเรื่อง "กลิ่นสีและกาวแป้ง" ของพิษณุ ศุภ ก็จะได้เห็นตัวละครภายในอาศรมสาธนา
อยู่มาวันหนึ่ง ฤาษีวินัยเริ่มเบื่อสภาพที่เป็นอยู่ จึงแยกทางกับฤาษีชาญ และอำลาเกาะเสม็ด มุ่งสู่โลกใบใหม่
ฤาษีวินัย ปลีกตัวออกจากหนทางนักพรต บวชเป็นพระภิกษุ ส่วนฤาษีชาญนั้น กลับไปใช้ชีวิตทางโลกโดยสมบูรณ์แบบ มีเมีย มีลูก
ก่อนถอยห่างจากวิถีโยคี ฤาษีวินัยได้เดินทางจากเสม็ดไปสู่เนปาล อินเดีย ถ้ำเขาสาริกา นครนายก ถ้ำแก้วสุรกาญจน์ นครศรีธรรมราช และถ้ำลานพระแก้ว ภูกระดึง เมืองเลย
ปี 2527-2537 จัดว่าเป็นปีทองของ "ยันตระ อมโรภิกขุ" พระหนุ่มรูปงาม เคร่งครัดในศีลาจารวัตร เป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน มีสำนักชื่อว่า "สุญญตาราม" ตั้งอยู่ จ.กาญจนบุรี
สื่อทุกแขนงต่างประโคมข่าว "คิวทอง" ของพระอาจารย์ยันตระ เพราะว่าเป็นข่าวขายได้ สื่อบางสำนักยกย่องให้เป็นซูเปอร์สตาร์ เพราะญาติโยมแทบจะเหยียบกันตายเพราะคลั่งไคล้พระอาจารย์ยันตระ
ปี 2537 เกิดกรณีอื้อฉาวขึ้นกับพระอาจารย์รูปงาม มีการฟ้องร้องท่านด้วยข้อหา "ปาราชิก" ถ้าผิดก็ถึงกับต้องลาสิกขาขาดจากความเป็นพระ
ภาพอดีตพระยันตระที่เห็นในวันนี้ ก็ไม่ต่างจากภาพของฤาษีนักพรตแห่งเกาะเสม็ด ผู้สร้างตำนานต่อแพท่องทะเล แสวงหาความหมายของชีวิต