คอลัมนิสต์

'วัฏจักรหมู'เรื่องจริงที่ต้องเข้าใจ

'วัฏจักรหมู'เรื่องจริงที่ต้องเข้าใจ

25 มี.ค. 2557

'วัฏจักรหมู'เรื่องจริงที่ต้องเข้าใจ : กระดานความคิด โดยรัฐพล ศรีเจริญ : [email protected]

           เสียงบ่นจากผู้บริโภคบ่อยครั้งในเรื่องราคาเนื้อหมูที่ผันผวน เดี๋ยวขึ้น-เดี๋ยวลง มีมาให้ได้ยินตลอดทั้งปีเกี่ยวกับ “วัฏจักรหมู” หรือ Hog Cycle เกิดขึ้นจากอุปสงค์และอุปทานที่ไม่สมดุลตามกลไกการตลาด ทำให้ช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยราคาก็จะปรับตัวสูงขึ้นและจะปรับตัวลดลงเมื่อผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น

           หากสังเกตวัฏจักรหมูและราคาให้ดีจะพบว่า ราคาหมูขึ้น-ลงในรอบหนึ่งปีนั้น มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเป็นตัวกำหนด ทั้งปริมาณการเลี้ยงหมู การบริโภค ต้นทุนการผลิตที่ผันผวน ภาวะโรค รวมทั้งเทศกาลสำคัญต่างๆ ที่เป็นตัวกำหนดราคาหมูในแต่ละช่วงแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ (2 เดือน) เป็นช่วงที่การบริโภคหมูคึกคัก เนื่องจากมีวันหยุดเทศกาลสำคัญอยู่หลายวัน

           เมื่อเข้าสู่หน้าร้อนเดือนเมษายน-มิถุนายน เป็นเวลา 3 เดือน ราคาหมูจะสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดทำให้ปริมาณหมูที่ออกสู่ตลาดน้อยลง

           ช่วงเริ่มฤดูฝนเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน (5 เดือน) เป็นช่วงที่มีอาหารตามธรรมชาติออกสู่ตลาดมาก ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกบริโภคอาหารอื่นทดแทน และยังเป็นช่วงเทศกาลเข้าพรรษาและเทศกาลกินเจ ทำให้ราคาหมูในช่วงนี้อ่อนตัวลง และเดือนธันวาคม (1 เดือน) เป็นช่วงปลายปีที่อากาศหนาวเย็นลงทำให้การท่องเที่ยวค่อนข้างคึกคัก และยังมีช่วงวันหยุดอยู่หลายวัน การบริโภคมากขึ้น ทำให้ราคาหมูค่อนข้างดี

           จะพบว่าในแต่ละปีมีช่วงที่ราคาหมูสูงอยู่ 6 เดือน และช่วงราคาตกต่ำอีก 6 เดือน ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวัฏจักรหมูดังนี้

           1.เกิดจากลักษณะทางชีวภาพของหมู ซึ่งมีการเจริญเติบโตขึ้นอยู่กับฤดูกาล คือ หมูเจริญเติบโตดีในฤดูหนาว และเจริญเติบโตช้าในฤดูร้อน

           2.เกิดจากเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูส่วนใหญ่วางแผนการเลี้ยงและผลิตหมูโดยดูจากราคาปัจจุบันเป็นตัวกำหนดคือ เมื่อราคาสูงมาก เกิดแรงจูงใจให้ขยายการเลี้ยง ผลก็คือเกิดภาวะหมูล้นตลาด

           3.เกิดจากภาวะราคาหมูที่ดีมาก ทำให้นอกจากรายเก่าจะขยายการเลี้ยงแล้ว ยังจูงใจให้รายใหม่เข้ามาเลี้ยง

           สำหรับในช่วงที่ราคาหมูตกต่ำเกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจากปัญหาซ้ำซ้อน คือ ขายหมูไม่ได้ราคาและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ผู้เลี้ยงหมูบางรายต้องเลิกกิจการฟาร์ม

           เมื่อปริมาณหมูลดลงจึงสวนทางกับความต้องการบริโภคที่มากขึ้น ราคาหมูจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น จึงเกิดการร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแลราคาหมูไม่ให้สูง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วควรปล่อยราคาหมูให้เป็นไปตามกลไก

           ทั้งนี้ ผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เนื้อหมูที่ว่าแพงนั้นไม่ใช่เนื้อหมูทั้งตัวที่มีราคาแพง เพราะชิ้นส่วนของหมูไม่ได้ขายในราคาเดียวกันทั้งหมด โดยหมูขุน 1 ตัว น้ำหนักประมาณ 100 กก. เมื่อถูกชำแหละ นำเอาเลือด ขน อวัยวะภายใน และส่วนที่อยู่ในทางเดินอาหารออกแล้ว จะได้ซากหมูที่ขายได้จริงเพียง 75 กก. ที่สำคัญคือ มีส่วนของเนื้อแดงที่เป็นชิ้นส่วนที่แพงที่สุดของตัวหมูอยู่เพียงประมาณ 42 กก.เท่านั้น หากนำมาเฉลี่ยแล้วราคาหมูจะแพงไม่ถึงระดับราคาสูงสุดในแต่ละช่วงดังที่เข้าใจกัน

           วัฏจักรราคาหมูนี้จะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ ตราบเท่าที่ระบบการเลี้ยงหมูของไทยไม่มีมาตรการจดทะเบียนเกษตรผู้เลี้ยงหมูให้เป็นรูปธรรมเพื่อจะได้รู้ถึงผลผลิตหมูที่แท้จริง รวมทั้งการแก้ปัญหาด้านต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์เพื่อลดต้นทุนอีกทางหนึ่ง เมื่อใดทุกเรื่องที่กล่าวมาได้รับการเหลียวแลและแก้ไขจึงจะเกิดเสถียรภาพในวงการหมูอย่างแท้จริง