
แค้นข้ามชาติ อุเทน-ปทุมวัน
29 ม.ค. 2552
ย้อนหลังไปจากเหตุการณ์คนร้ายกระหน่ำยิงนายคณิน ทองอู๋ หรือโน้ต อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาอิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เมื่อวันจันทร์ (26) รวมทั้งการยิงเผาขนสังหารนายพรพจน์ โสภาเจริญ
นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ก่อนหน้านี้ไม่นาน เราจะพบว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายถึงเส้นทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของ 2 สถาบันนี้ เป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่ไม่อาจเยียวยาได้เลย นับจากที่สถาบันทั้งสองยังเรียกชื่อว่า โรงเรียนช่างกลปทุมวัน และช่างก่อสร้างอุเทนถวาย เพียงแต่พัฒนาการในการใช้อาวุธที่เปลี่ยนจากการชกต่อย หรือร้ายแรงที่สุดก็เพียงสนับมือ มาเป็นปืนเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาตัดสินจำคุกตลอดชีวิต อดีตนักศึกษาอุเทนถวาย ที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญกลางกรุง ใช้อาวุธมีดแทงนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน จนเสียชีวิตบนรถประจำทางสาย 47 พฤติการณ์แห่งคดีก็ไม่แตกต่างไปจากอดีต และปัจจุบัน คือไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน แต่จำได้ว่าเป็นนักศึกษาในสถาบันที่เป็นคู่อริมาก่อน เพียงเท่านั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่อดีตนักศึกษาอุเทนถวายผู้กลายเป็นนักโทษต้องติดคุกตลอดชีวิต เดินแหวกผู้โดยสารอื่นปรี่เข้าไปทำร้ายนักศึกษาอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วจ้วงแทงก่อนจะผลักตกลงไปเสียชีวิตอย่างหน้าอนาถบริเวณหน้าอาคารอับดุลราฮิม ถนนพระราม 4 ประการสำคัญเด็กที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ล้วนเป็นเด็กดี เอาใจใส่ในเรื่องการเรียนทั้งสิ้น แม้กระทั่งรายล่าสุดที่ถูกยิงย่านราษฎร์บูรณะ
น่าเศร้าที่เหตุการณ์การทำร้าย การตามไล่ล่าสังหารกัน คล้ายสงครามของคน 2 เผ่าพันธุ์ ยังมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใช้อาวุธร้ายแรง เช่น ปืนและมีดทำร้าย และหวังผลให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต อีกทั้งเพาะเชื้อความเคียดแค้นให้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เด็กดี หรือเด็กเรียน กลายเป็นเป้าหมายในการสังหารของแต่ละฝ่าย โดยผู้ลงมือทำร้ายให้การว่าการมุ่งกระทำต่อเด็กดี จะทำให้เกิดความแค้นมากขึ้น เป้าหมายจะถูกถ่ายภาพไว้ แล้วโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ของกลุ่ม จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของสมาชิกในการไล่ล่าสังหาร ตามรูปพรรณสัณฐานที่ปรากฏ บางรายยังมีการตั้งค่าหัว จูงใจให้ปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยม โดยไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ต้องหาเหตุผลว่าโกรธเคืองกันด้วยเรื่องอะไรด้วย
ความแค้นสะสมระหว่างสองสถาบัน กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ฝังรากลึกมายาวนาน ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้รับผิดชอบกำกับ ดูแลในแต่ละยุคสมัย ก็มองเห็นปรากฏการณ์นี้ไม่ต่างกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา มักเกิดขึ้นไกลจากสถาบัน ไม่ได้ยกพวกตีกันเป็นกลุ่มในบริเวณใกล้เคียงสถาบันเหมือนในอดีตอีก จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะติดตาม ตรวจสอบ ป้องกันเหตุที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นที่ใด แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเกิดขึ้นนี้ นับเป็นเหตุร้ายแรงเร่งด่วน นอกจากการงดใส่เครื่องแบบเพื่อแสดงสถาบันการศึกษาแล้ว ผู้บริหารสถาบันทั้งสองควรประกาศปิดสถาบันชั่วคราว และร่วมปรึกษาหารือแสวงหาแนวทางออกในการแก้ปัญหาทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาวอีกครั้ง