
14ตุลากับ'นายกรัฐมนตรีพระราชทาน'
14ตุลากับ'นายกรัฐมนตรีพระราชทาน' : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา
บ่อยครั้งบนเวที กปปส. จะมี "คนเดือนตุลา" สายนักวิชาการขึ้นไปพูดถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา และย้ำว่า สายธารประวัติศาสตร์ไม่เคยสิ้นสุด แถมบางคนท่องกวีวรรคทอง "เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"
นอกจากนี้ อดีตเลขาธิการศูนย์นิสิตฯ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ได้อ้างถึงการได้มาของ "นายกรัฐมนตรีคนกลาง" ซึ่งไม่แตกต่างจาก "นายกรัฐมนตรีพระราชทาน" หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา มหาวิปโยค
คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างถ่องแท้ ก็มักจะเห็นคล้อยไปตามข้อเสนอนี้ ผมจึงขอเล่าเรื่องเบื้องหลังนายกฯพระราชทาน แบบย่อๆ ดังนี้
หลังจากเกิดเหตุจลาจลสองวัน (14-15 ต.ค.2516) จอมพลถนอม กิตติขจร ได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเดินทางออกนอกประเทศ
จึงเกิดสุญญากาศทางการเมือง เพราะไม่มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในการทำหน้าที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายหรือบริหารประเทศ และได้เกิดข้อถกเถียงทางกฎหมายในเวลาต่อมา
อันเนื่องมาจากภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2515 ธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหารของจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2515
ธรรมนูญการปกครองดังกล่าว ไม่ได้กำหนดที่มาของนายกรัฐมนตรีไว้ จึงมีการหาทางออกร่วมกันของหลายฝ่าย
ในที่สุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 14 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน
สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สมัยนั้น จึงเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 12 โดยมี "ทวี แรงขำ" รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ว่ากันว่า การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีพระราชทาน โดยอาศัยมาตรา 14 ซึ่งอาจสอดคล้องกับบทบัญญัติในมาตรา 22 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2515 ที่ระบุว่า ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย
การเข้าทำหน้าที่ของรัฐบาลสัญญา เป็นเพียงการทำหน้าที่รัฐบาลชั่วคราว ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของการจัดการคลี่คลายสถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อยในประเทศหลังวิกฤติ และการร่างรัฐธรรมนูญภายในเวลา 6 เดือน
ขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดเดิม ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะปฏิวัติในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ยังไม่หมดสมาชิกภาพลง จึงมีเสียงเรียกร้องจากกลุ่มนักศึกษาและประชาชนให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติลาออก เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลชุดใหม่มีการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติชุดใหม่
เมื่อสมาชิกสภาฯ ชุดเดิม ได้เริ่มทยอยลาออก จนมีสมาชิกลดน้อยไม่พอที่จะเป็นองค์ประชุม ในที่สุดได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภานิติบัญญัติเดิม
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ จำนวน 2,347 คน จากสาขาอาชีพต่างๆ โดยสมัชชาแห่งชาติจะประชุมร่วมกันเพื่อคัดเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
พ.ศ.โน้น ศูนย์ประสานงานสมัชชาแห่งชาติ จัดให้มีการลงทะเบียนสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล และเริ่มมีความเคลื่อนไหวเพื่อหาเสียงสนับสนุนเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
วันที่ 18 ธันวาคม 2516 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงเปิดการประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งแรก ที่สนามม้าราชตฤณมัยสมาคม และสามารถคัดรายชื่อผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนและคะแนนสูงสุด 299 คนแรก เพื่อขอพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ข้อคิดจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในปี 2519 ก็มีนายกรัฐมนตรีแบบพิเศษ แต่ได้มีการทูลเกล้าฯ ถวายชื่อนายกรัฐมนตรี โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ส่วนในปี 2535 ก็ยังมีกลไกรัฐสภา เพื่อคัดเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่ ประธานรัฐสภาจึงเป็นผู้คัดบุคคลขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเอง
ผิดกับนายกฯ พระราชทานเมื่อ 40 ปีก่อนนั้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขการเมืองแบบเผด็จการ และไร้ทางออก เพราะธรรมนูญการปกครองของคณะทหาร ที่มิได้ระบุถึงที่มาของนายกฯ