คอลัมนิสต์

เรื่องที่ไม่ควรชักช้า

เรื่องที่ไม่ควรชักช้า

13 มิ.ย. 2552

พลันที่พบการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นอกเหนือจากที่พัทยาและภูเก็ต ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตลอดจนรัฐมนตรีสาธารณสุข รัฐมนตรีศึกษาธิการ

 ต่างเรียกร้องไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก เนื่องจากมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและเตรียมรับมือเป็นอย่างดีแล้ว รวมไปถึงการตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วขึ้นในทุกจังหวัด เพื่อตรวจสอบและควบคุมทันทีที่มีการรับแจ้ง กระทั่งนำไปสู่การสั่งปิดโรงเรียนแล้วอย่างน้อย 3 แห่ง และโรงเรียนกวดวิชาอีก 1 แห่ง ไม่นับรวมการสั่งปิดเธคแห่งหนึ่งที่พัทยาที่เป็นจุดแพร่เชื้อเอช 1 เอ็น 1 ด้วย

 แต่การเรียกร้องไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกนั้นไม่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับการที่รัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงโรงเรียนที่พบการแพร่ระบาดไม่กล้าตัดสินใจด้วยความรวดเร็วฉับไวอันจะช่วยสกัดกั้นการลุกลามตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยเป็นรายแรกที่ติดเชื้อภายในประเทศ ทั้งๆ ที่มีบทเรียนความล้มเหลวและความสำเร็จของการตัดสินใจที่ล่าช้าหรือด้วยความฉับไวของหลายประเทศให้เห็นเป็นตัวอย่างมาตลอดช่วง 2 เดือนนับตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้เริ่มระบาด สะท้อนถึงความบกพร่องในการซักซ้อมทำความเข้าใจกับทุกหน่วยงานให้คำนึงถึงความปลอดภัยของสาธารณะเป็นสำคัญ มากกว่าจะห่วงใยแต่ชื่อเสียงหรือยังยึดติดกับระบบราชการเก่าๆ ที่ต้องรอการตัดสินใจจากเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้องก่อน

 ความลังเลและความล่าช้ากว่าจะตัดสินใจสั่งปิดโรงเรียน 7 วัน เป็นเหตุให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นนับสิบราย ทั้งๆ ที่สามารถป้องกันได้ตั้งแต่แรก นับเป็นบทเรียนที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขทันทีด้วยการศึกษาตัวอย่างจากหลายประเทศ โดยเฉพาะออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่พบการระบาดรุนแรงที่สุดในแถบเอเชียแปซิฟิก เมื่อรัฐบาลได้เรียกประชุมฉุกเฉินเพื่อเตรียมหามาตรการป้องกันมากขึ้นโดยอาจคลุมไปถึงการสั่งยกเลิกการแข่งขันกีฬาต่างๆ รวมถึงการจำกัดการเดินทางและการปิดพรมแดน หลังจากองค์การอนามัยโลกได้เพิ่มระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นระดับ 6 อันเป็นระดับสูงสุด ซึ่งหมายถึงโรคนี้ได้ระบาดไปทั่วโลกแล้วและเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี ที่มีการเตือนภัยในระดับนี้

 ถึงแม้ว่าหลายคนจะเตือนว่ารัฐควรเฝ้าระวังด้วยความรอบคอบแต่โปร่งใส ไม่ควรเป็นกระต่ายตื่นตูมเกินเหตุ แต่เราเชื่อว่าการเฝ้าระวังนี้ควรจะขยายขอบข่ายให้คลุมไปถึงพื้นที่สาธารณะทุกแห่งที่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย ควบคู่ไปกับการต้องรณรงค์ให้มากขึ้นถึงสิ่งที่พึงปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น สวมหน้ากาก เป็นต้น