
ข้าราชการพลเรือน
ข้าราชการพลเรือน : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 2 เม.ย. 2556
วันข้าราชการพลเรือน ตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ที่ยึดเอาวันนี้เป็นวันข้าราชการพลเรือนก็เพราะ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 นั้นมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2471 จึงได้ถือเอาวันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันข้าราชการพลเรือน แต่การจัดงานวันข้าราชการพลเรือนนั้นมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2522 เนื้อหาของงานก็คือ การมอบรางวัลยกย่องให้แก่ข้าราชการดีเด่น ทุ่มเท อุทิศตนทำหน้าที่ข้าราชการให้การบริการแก่ประชาชนได้อย่างดีเยี่ยมและซื่อตรง
ขณะเดียวกันนับเป็นอีกปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ พระราชทานพระบรมราโชวาท เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2556 ความว่า “งานของแผ่นดินนั้น เป็นงานส่วนรวม มีผลที่กว้างขวาง เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองและบุคคลทุกคนทุกฝ่าย เมื่อเป็นงานส่วนรวมและมีผลเกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก ปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ อันเนื่องมาจากความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ย่อมมีเกิดขึ้นบ้างเป็นปรกติธรรมดา ข้าราชการผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน ตลอดจนทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงต้องมีใจหนักแน่นและเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างแม้กระทั่งคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีสติ ใช้ปัญญาและเหตุผลเป็นเครื่องปฏิบัติวินิจฉัย โดยถือว่าความคิดเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นคือการระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลายจากทุกคนทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติบริหารงานและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้งานทุกส่วนทุกด้านของแผ่นดินสำเร็จผลเป็นความเจริญมั่นคงแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง”
นอกจากนี้แล้ว ในส่วนของรัฐบาลเองก็มีการจัดงานด้วยเช่นกัน โดยมีคำขวัญของงานว่า "มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีหน้าที่รับใช้ประชาชน" นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ข้าราชการพลเรือนนั้นมีส่วนเป็นอย่างยิ่งในการที่จะเชื่อมโยงระหว่างงานของราชการกับความต้องการของประชาชน การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักย่อมนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมือง และความภาคภูมิใจของข้าราชการพลเรือนทุกคน
ที่ผ่านมามีความพยายามจะชี้ให้เห็นว่า บ้านเมืองนี้จะขับเคลื่อนไปในทิศทางใด หรือจะตกร่องตกหลุม สะดุดล้ม หรือที่เรียกว่าถ่วงความเจริญ นอกจากนักการเมืองแล้วก็คือ ข้าราชการพลเรือนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ล้วนมีส่วนที่จะกำหนดชะตาชีวิตของบ้านเมือง แม้กระทั่งในเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงอยู่กับสังคมไทยนี้ ข้าราชการพลเรือนก็มีส่วนที่จะทำให้เจือจาง หมดลงไป หรือไม่ก็โหมไฟใส่ฟืนให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมืองได้ไม่ยากนัก หากว่า ข้าราชการพลเรือนไปลุ่มหลงฝักใฝ่เลือกข้างจนมองเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูคู่อาฆาต
บ้านเมืองจะเป็นไปอย่างไรในอนาคต ไม่ใช่แค่เพียงว่า ประชาชนคิดอย่างไร หรือจะต้องแก้ปัญหาความแตกแยกในมวลหมู่ประชาชน ข้าราชการพลเรือนทั้งหลายก็มีส่วนสำคัญที่จะกำหนดอนาคต ทั้งของตนเองและบ้านเมืองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทั้งด้วยเพราะกลไกทางกฎหมายที่ส่วนหนึ่งข้าราชการทั้งหลายมีอำนาจเป็นเจ้าพนักงาน มีโอกาสที่จะสร้างบรรทัดฐานที่ดี ที่ถูกต้องให้แก่สังคม