
วัฒนธรรมฆ่าน้องฟ้องนายขายเพื่อนตอน'ฟ้องนาย'
วัฒนธรรมฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อนตอน'ฟ้องนาย' : โลกตำรวจ โดยผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข
"มันต้องคิดอย่างดีแล้วถึงตัดสินใจทำ" คำว่า "คิดดี" ของผู้กำกับการสถานีตำรวจไม่ได้หมายถึงการคิดอย่างรอบคอบในการทำงานป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดซึ่งเป็นหน้าที่หลักของตำรวจ แต่กลับหมายถึง การคิดอย่างรอบคอบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากตัดสินใจที่จะกระทำการฟ้อง(ร้อง)นายเพราะต่างรู้อยู่แก่ใจว่านายผู้ถูกฟ้องมีโอกาสในการเอาคืนทุกรูปแบบ จนเกิดวัฏจักรของการแก้แค้นเอาคืนไม่จบสิ้น
"ฟัดกันนัว" นายตำรวจใช้ถ้อยคำที่ทำให้เห็นภาพของการต่อสู้ขัดขืนระหว่างนายกับลูกน้องในวงการตำรวจ
ศาลปกครอง กลายเป็นช่องทางที่พึ่งที่ทำให้เหล่าบรรดาตำรวจผู้ที่ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากนายได้มี "ทางออก" หรือ "รูระบายความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงาน” ถึงแม้จะเป็นเพียง รูเล็กๆ แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้คนเล็กๆ ในองค์กรพบแต่ทางตันโดยไม่มีช่องทางระบายทุกข์เสียเลย
ความขัดแย้งระหว่างนายกับลูกน้องในแวดวงสีกากีที่ส่งผลให้ตำรวจต้องใช้กฎหมายมาบังคับพวกเดียวกันเองนั้นส่วนใหญ่คือ ความไม่เป็นธรรมในการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความก้าวหน้าในการทำงาน
“ไม่ควรไปย้ายเขาก็สั่งย้าย เพื่อเอาคนของตนเองมาลงในพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ เขาควรจะได้ขึ้นก็ไม่ให้เขาขึ้น เอาคนของตนเองกระโดดข้ามหัวเขาไป” นายตำรวจใหญ่ยกตัวอย่างซึ่งทำให้เห็นชัดเจนว่า การบริหารจัดการเพื่อคัดเลือกคนมาปฏิบัติงานในโลกของตำรวจนั้นมิได้คำนึงถึงเฉพาะความรู้ความสามารถในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมแต่เพียงเท่านั้น อีกทั้งมิใช่คำนึงถึงว่าพื้นที่นี้มีปัญหาอะไรและต้องการนายตำรวจผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดมาทำงานเพื่อให้เกิดความสงบสุขในชุมชน หากแต่เรื่องของผลประโยชน์ต่างๆ ในพื้นที่เป็นสิ่งที่นายให้ความสำคัญและรักษาผลประโยชน์ของตนจนนำมาซึ่งการพิจารณาจัดสรรคนของตนเองมาปฏิบัติงานในพื้นที่เพื่อดูแลความเรียบร้อย?
หากพิจารณาในมิตินี้การโยกย้ายอย่างไม่เหมาะสม(ถึงแม้ว่านายจะใช้เหตุผลในการโยกย้ายว่าเพื่อความเหมาะสมก็ตาม)จึงมิใช่ปัญหาความมั่นคงในการทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในวิถีการทำงานในโลกของตำรวจด้วย ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในโลกของตำรวจจึงมีความซับซ้อนย้อนแย้งเกินกว่าที่คนนอกจะด่วนสรุปความเข้าใจและตัดสินว่าใครถูกหรือผิด
“การฟ้องร้องเพราะการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมในพื้นที่ผลประโยชน์ไม่ค่อยทำกันเท่าไหร่หรอก เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่มาอยู่ในพื้นที่เกรดเอ? นี้ได้ก็เป็นพวกมีอิทธิฤทธิ์อภินิหารและเคยร่วมสร้างความไม่เป็นธรรมมาก่อนเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าสถานการณ์แบบนี้ทางใครทางมัน ทีใครทีมัน” เพื่อนนายตำรวจโต้แย้งแสดงความเห็นที่แตกต่าง
“การฟ้องร้องในรูปแบบที่ลูกน้องร้องเรียนผู้บังคับบัญชาน่าจะเป็นความทุกข์แท้ๆ ของตำรวจชั้นผู้น้อยมากกว่า” นายตำรวจเริ่มเปิดประเด็นใหม่ พร้อมคำบอกเล่าเรื่องราวของการกดขี่ขูดรีดที่นายมีต่อลูกน้องผู้ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานให้แก่หน่วยงานของตนเองอย่างชนิดที่เรียกว่า "ไม่ให้กระเด็นทุกบาททุกสตางค์”
“สิ่งใดที่เขาอยากได้และไปหาเอาในทางที่มิชอบ เราก็พยายามหลับตา แล้วก็คิดว่าเกินอำนาจของเราจะไปแก้ไข แต่นี่มันเป็นสิทธิของเรา เป็นเงินเพียงน้อยนิดที่เราพึงได้จากหยาดเหงื่อแรงงานที่เราลงแรง ลงใจ เสี่ยงตายในการทำงานด้วยความยากลำบาก เขายังมาเบียดบัง หักเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้มันสมควรมั้ย” นายดาบเล่าด้วยอารมณ์และความรู้สึกอึดอัดใจต่อการกระทำของผู้เป็นนายจนทำให้ลูกน้องพากันรวมกลุ่มใช้ช่องทางการร้องเรียนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่พวกตนหากแต่มิได้หวังผลของการกระทำมากนัก “แต่พวกเราก็ไม่คาดหวังผล 100%นะว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะนายประเภทนี้เขาคงมีอำนาจจึงทำให้เขากล้าที่จะทำอย่างนี้ ขนาดลูกน้องที่โรงพักเดิมจุดประทัดไล่ ก็ยังเห็นได้ดิบได้ดีและไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง”
ในเมื่อ เงิน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตำรวจไทย การได้มาซึ่งเงินไม่ว่าจะด้วยวิธีใดในขณะที่มีอำนาจและโอกาสจึงกลายเป็นวิถีของการทำงานที่กลืนกลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายกับลูกน้องในบริบทของการทำงานในโลกของตำรวจ เป็นการก่อร่างวัฒนธรรมที่ไม่เอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในการทำงานของตำรวจไทย