คอลัมนิสต์

จะรอให้ตายกันอีกเท่าไร

จะรอให้ตายกันอีกเท่าไร

30 ก.ค. 2555

จะรอให้ตายกันอีกเท่าไร : จดหมายถึงนายกฯ, ผบ.ทบ. และเลขาธิการ ศอ.บต. : กระดานความคิด โดยพล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์

             ปัจจุบันนี้ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ที่พัฒนามาจาก “โจรกระจอก” นั้นได้กลายเป็น “มืออาชีพ” ที่มีประสบการณ์จากการปะทะจริงมากกว่าตำรวจ-ทหารหลายสิบคน มีความจำเป็นที่ต้องสู้เพื่อเอาตัวรอด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทหาร-ตำรวจ เราไม่มี บางคนสู้ด้วยความศรัทธาต่อศาสนา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าที่เขาเชื่อนั้นถูกหรือผิด บางกลุ่มมีสปอนเซอร์สนับสนุน ฯลฯ ในขณะที่บุคคลเหล่านี้คิดค้นวิธีการรบ ทหาร-ตำรวจเรากำลังคิดถึงบ้าน กำลังเล่นดัมมี่ กำลังถ่ายรูปลงเฟซบุ๊ก ฯลฯ ขวัญและกำลังใจใครจะดีกว่ากัน
   
              ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกๆ วันนั้นเป็นเพราะไม่มีรัฐบาลไหนที่จะเข้าทำงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะแนวทางปฏิบัติจะยุติความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีปราบปรามในแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว จะใช้วิธีแจกเงินก็ไม่ได้อีกเช่นกัน สิ่งที่รัฐบาลต้องรู้ “ทหารนั้นอยู่ได้ด้วยเกียรติยศ” เมื่อใดที่รัฐบาลทำให้ทหารรู้ว่า “รัฐบาลกำลังไม่ให้เกียรติยศแก่พวกเขา” ทหารก็จะอยู่ในภาวะที่ท้อถอย เหตุการณ์รุนแรงต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้โดยง่าย ได้เคยพูดเคยเขียนมานับสิบๆ ครั้งแล้วถึงการต่อสู้ที่น่าจะได้ผลมากที่สุด (ลองอ่านดูกันใหม่) ในขั้นต้นจะต้องประกาศอำนาจรัฐขึ้นบนถนนสายหลักให้ได้ก่อนโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาช่วย ถ้าทำได้สำเร็จเรื่องอื่นๆ ก็จะทำได้ง่ายขึ้นทุกเรื่องไม่ว่าการศึกษา การสอนอาชีพต่างๆ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ฯลฯ จึงขอสรุปแนวทางปฏิบัติในขั้นต้นดังนี้
   
              1.การตั้งด่านตรวจอย่างเป็นระบบในรูปของด่านถาวรใกล้สี่แยก และจุดที่ตั้งโรงพักบนถนนสายหลักที่จะผ่านเข้ามาในตัวเมืองแต่ละแห่ง โดยมีข้อกำหนดให้ผู้ที่ผ่านทางต้องลงจากรถมายืนที่จุดจับภาพของกล้องวงจรปิดทุกคน ไม่มีการละเว้นไม่ว่าเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจ (เป็นการป้องกันเจ้าหน้าที่จากข้อกล่าวหาว่าท่านไม่เสมอภาคด้วย) ถ้าตรงส่วนไหนมีจราจรหนาแน่น ให้ตั้งกล้องวงจรปิด 2-3 ตัว เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการผ่านด่าน (การตั้งด่านจะทำให้เรารู้ว่ารถคันนี้วิ่งไปไหนมาไหนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีใครนั่งในรถมาบ้าง โดยจะมีการนำภาพมาวิเคราะห์ โดยฝ่ายข่าวในภายหลังทำให้ทราบว่า รถคันนั้นไปไหนมากี่คน หายไปตรงจุดไหนกี่คน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่กล้าจะผ่านไปมาบนถนนสายหลักอีก)
    เมื่อมีผลสำเร็จบนถนนสายหลักแล้ว ราษฎรจะเรียกร้องให้ทหารเข้าไปตั้งด่านตรวจร่วมกับชาวบ้านเองในถนนสายรอง หลังจากนั้นจะมีชาวบ้านขอตั้งเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ด่านแบบนี้ยังได้ประโยชน์อีกทางหนึ่งในการสร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวบ้านด้วย
   
              2.การติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณพื้นที่สำคัญๆ และตรงทางเข้าออกตัวเมืองเป็นกล้องที่มีคุณภาพสามารถมองเห็นในที่แสงต่ำได้ มีศูนย์ควบคุมคอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวทั่วทั้งเมือง โดยเฉพาะจุดสำคัญ เช่น ท่ารถประจำทาง ตลาด พื้นที่ขายอาหาร ฯลฯ โดยมอบหมายให้หน่วยข่าวต่างๆ เป็นผู้แบ่งกันรับผิดชอบ และนำผลมาวิเคราะห์ร่วมกัน เมื่อครบทุกเวลา 7 วัน ดังนั้นทั้งตัวบุคคล รถที่ผ่านเข้าออกก็จะทำให้เกิดภาพเชื่อมโยงกับระบบวงจรปิดตามด่านตรวจต่างๆ ด้วย (สามารถถ่ายทอดภาพเข้ามาดูในกรุงเทพฯ ได้ ซึ่งจะทำให้มีการควบคุมเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ) การติดตั้งกล้องวงจรปิดนี้จะส่งผลดีขึ้นค่อนข้างแน่นอน แต่ไม่สำเร็จหรอกครับ เพราะถ้าทำแล้วจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของทหาร-ตำรวจบางคนเข้า เช่น
   
              -พ่อค้าของเถื่อนทุกชนิด ซึ่งมีอยู่เต็มภาคใต้จะเดือดร้อน ซึ่งจะส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเดือดร้อนตามไปด้วย
   
              -ขบวนการค้ามนุษย์และค้ายาเสพติดก็เช่นกัน โดยเฉพาะยาเสพติด ซึ่งเป็นหัวใจของการก่อเหตุร้าย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เกือบทุกอำเภอจะเดือดร้อนมาก
   
              -เจ้าหน้าที่รัฐเองก็ไม่สบายใจ เพราะนอกจากขาดรายได้พิเศษแล้ว กล้องวงจรปิดเหล่านี้ผู้ใหญ่ทางกรุงเทพฯ สามารถดูได้ตลอดเวลา จะไม่อยู่เวร จะหลับ จะทำอะไรก็ลำบากไปหมด ฯลฯ
   
              ผลกระทบเหล่านี้ เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผู้ที่เคยมีผลประโยชน์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ ซึ่งคนพวกนี้ถือว่ามันเป็นเรื่องใหญ่กว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดศูนย์ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดตามที่ผมเสนอไปอย่างเต็มรูปแบบจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ในชาตินี้ หรือถ้าเป็นไปได้ก็คงเหมือนในปัจจุบันนี้ กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งมานั้นได้เสื่อมคุณภาพไปตามกาลเวลา กล้องเสียก็ปล่อยไว้อ้างว่ารอช่างจากกรุงเทพฯ บางกล้องก็ถูกทำลายโดยเจตนาหรือนำเครื่องรับไปติดไว้ตามห้องวิทยุ ซึ่งไม่มีใครดู ฯลฯ กล้องวงจรปิดที่มีอยู่นั้นจะนำมาดูกันต่อเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
   
              ในข้อเท็จจริงยังมีเทคโนโลยีสมัยใหม่อีก 2-3 อย่าง ที่จะนำมาใช้เพื่อคุมสภาพพื้นที่ไว้ให้ได้ ทำอย่างจริงจังสักเดือนเดียว เมื่อขวัญกำลังใจของชาวบ้านเกิดขึ้น กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็จะหมดแนวร่วมจากชาวบ้านไป พวกที่เหลือก็จะสลายตัวไปเอง เพราะ ข้อเท็จจริงคนพวกนี้ต้องการแก้แค้นคนบางคนมากกว่าจะแบ่งแยกดินแดนครับ พวกที่มีหมายจับส่วนใหญ่ก็เบื่อหน่าย ต้องการเลิกรา มีมากกว่าครึ่งร้อยที่หลบอยู่ในกรุงเทพฯ พยายามติดต่อขอมอบตัว แต่ไม่มีหน่วยงานไหนออกมารับผิดชอบ ก็ทำกันแบบนี้ ผบ.ทบ.อย่าไปโกรธถ้าประชาชนจะพูดว่า “เลี้ยงไข้หาเบี้ยเลี้ยง” ผู้ก่อเหตุร้ายเหล่านี้พูดมาหลายปีแล้วครับว่า “ราษฎรนั้นเปรียบเหมือน “ฟืน” เจ้าหน้าที่รัฐเปรียบเหมือน “ไม้ขีดไฟ” ซึ่งจุดติดบ้าง จุดไม่ติดบ้าง แต่รัฐบาลนั้นเปรียบเหมือนกับ “น้ำมันที่ราดไปบนกองฟืน” ซึ่งติดทุกที นายกฯ, ผบ.ทบ. ลองเก็บเอาไปคิดดูเถอะครับผู้มีอำนาจหน้าที่ทุกท่าน