
ในอ้อมกอดภูซาง
ในอ้อมกอดภูซาง : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา
วันที่ผู้อาวุโสสวมชุด ทปท.ใหม่เอี่ยม มาเดินอยู่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ ในใจผมบอกตรงๆ ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในสังคมไทย?
เท่าที่สอบถามจากเพื่อนมิตรก็ทราบว่า อดีตสหายส่วนใหญ่มาจากเขตงานภูซาง และชื่อ "ภูซาง" นี่เองที่ทำให้ผมนึกถึงประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่น อันเล่าขานกันผ่านงานรำลึกถึงผู้สูญเสียในเขตป่าเขา ซึ่งจัดกันทุกปีตามพื้นที่สีแดงเก่า
ในหนังสือ "ตำนานนักปฏิวัติภูซาง" ซึ่งมีการจัดพิมพ์เมื่อปี 2540 ได้มีผู้บันทึกเรื่อง "22 ปีที่ภูซาง" บอกเล่าเหตุการณ์ ณ กิ่ง อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี ปี 2504 เมื่อทางการก่อสร้างถนนสายอุดรธานี-หนองบัวลำภู ซึ่งชาวนาอาวุโสแถวนั้นเล่าว่า "คอมมิวนิสต์มากับการสร้างทาง"
เนื่องจาก "นายช่าง" (สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ฯ) ได้ให้การศึกษาชาวนาที่มาเป็นลูกจ้าง จนขยายการจัดตั้งมวลชนไปอย่างรวดเร็ว และมีการส่งคนหนุ่มกลุ่มหนึ่งไปเรียนการทหารจากโรงเรียนนายร้อยเวียดนาม เมื่อพวกเขากลับมา ก็ดำเนินการสู้รบกับทหารฝ่ายรัฐบาล โดยมีภูซางเป็นเสมือนบ้านหลังใหญ่ให้พักพิง
ภูซางมีลักษณะเป็นรูปตัวแอลทอดตัวจากริมฝั่งแม่น้ำโขง จาก อ.สังคม จ.หนองคาย ลงมาทางใต้ผ่าน อ.น้ำโสม อ.บ้านผือ อ.สุวรรณคูหา อ.หนองบัวลำภู (ปัจจุบันยกฐานะเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู)
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน และส่งผลสะเทือนมาถึงเขตงานภูซาง เมื่อ "สหายนำ" เขตงานภูซางเสนอคำขวัญทางยุทธศาสตร์ "การปฏิวัติจะต้องครึกโครม" ด้วยการ "ตีศึก" ตลอดแนว
เล่ากันว่า หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ทหารถอนกำลังออกจากป่าเขาเข้าสู่ที่ตั้งในตัวอำเภอ ถนนหนทางไม่มีด่านตรวจ สหายทั้งหลายก็แต่งชุด ทปท.ขึ้นรถไปทำงานมวลชนราวกับอยู่ในเขตปลดปล่อย ฝ่ายชาวบ้านทั่วไปนึกว่าชัยชนะของคอมมิวนิสต์ใกล้เข้ามาแล้ว ก็แห่มาต้อนรับ ทปท.กันคึกคัก
ประเมินกันว่า การปฏิวัติครึกโครมมีผลสะเทือนต่อการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 ทำให้ผู้สมัคร ส.ส.หน้าใหม่ไร้ชื่อเสียงได้เป็น ส.ส. 2 คนคือ สม วาสนา และ เติม สืบพันธุ์ แห่งพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย (พสท.)
หากคนกรุงทราบถึงกระแสสังคมนิยมที่มาแรงในเขตเลือกตั้งที่ 3 หรือเขตภูซางของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก็ไม่แปลกใจที่พรรคสังคมนิยมฯ จะได้รับชัยชนะบนพื้นที่สีแดงจัด
เวลาต่อมา ความผิดพลาด "การปฏิวัติจะต้องครึกโครม" ได้เผยตัวตนแนวร่วมในหมู่บ้าน เปิดช่องฝ่ายรัฐบาลเปิดยุทธการปราบปรามอย่างรุนแรง โดยกองทัพภาคที่ 2 จัดตั้ง "หน่วยผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 1718" (พตท.1718) มี พ.อ.อาทิตย์ กำลังเอก (ยศขณะนั้น) เป็นผู้บัญชาการปราบ "คอมมิวนิสต์ภูซาง" ที่เคลื่อนไหวอยู่ในรอยต่ออุดรธานี-เลย-หนองคาย
"พ.อ.อาทิตย์" ติดอาวุธให้ "ไทยอาสาป้องกันชาติ" ดำเนินการตอบโต้พวกคอมมิวนิสต์ ผสานกับการรุกด้านการทหารและการเมืองอย่างต่อเนื่อง
ปี 2523 วิกฤติศรัทธาครอบคลุมป่าเขา "สหายนำ" เคลื่อนย้ายศูนย์การนำไปอยู่ทางภูเขียว ชัยภูมิ ส่วนกำลังรบส่วนหนึ่งยังอยู่ที่ภูซาง และทยอยออกมอบตัว
ฝ่ายพลพรรคภูซางที่เคยเป็นขวัญใจชาวบ้านหลัง 14 ตุลา ตกอยู่ในสภาพผู้แพ้ ตรงกันข้ามกับนายทหารหนุ่มมือปราบคอมฯ ได้รับการปูนบำเหน็จเป็น ผบ.ทบ.
จวบจนวันเลือกตั้ง ส.ส. 24 กรกฎาคม 2531 อดีต ผบ.พตท.1718 ถอดเครื่องแบบลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. สื่อมวลชนสมัยนั้น ต่างจับตามองบทบาทหัวหน้าพรรคปวงชนชาวไทยของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก
ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิด "กระแสบิ๊กซันฟีเวอร์" หลังป่าแตก เมื่อชาวบ้านละแวกเมืองเลย สุวรรณคูหา นากลาง บ้านผือ น้ำโสม และหนองบัวลำภู ยังจดจำวีรกรรมปราบคอมมิวนิสต์ได้ดี ส่งผลให้พรรคปวงชนชาวไทยกวาดเก้าอี้ ส.ส.เลย และแจ้งเกิด ส.ส.ไร้ชื่อเสียงที่สนามอุดรธานี 2 คน โดยคนหนึ่งเป็นครูประชาบาลแห่งบ้านผือชื่อ วิเชียร ขาวขำ
ทุกวันนี้ ตำนานการปฏิวัติภูซางได้บรรจุไว้ใน "ศูนย์เรียนรู้ภูซาง" ณ วัดอุทุมพรพิชัย บ้านห้วยเดื่อ ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
แม้จะเหลือแค่ตำนาน แต่การก่อเกิด "กองทัพปลดแอกฯ" แบบแปลกแปร่ง ก็ได้กลิ่น "งานครึกโครม" โชยมาอีกครา?



