
พักยก(วันพ่อ) บีมกับพ่อชมพระเมรุ / หน่อย
11 ธ.ค. 2551
พักยก(วันพ่อ) บีมกับพ่อชมพระเมรุ / หน่อย
เรื่อง สิริรัตน์ แซ่เบ๊
ภาพ วริศรา วุฒิกุล
"บีม"ควง"พ่อ"
ชมความงามของ"พระเมรุ
ปกติจะไปไหนกันแบบยกครอบครัวทั้งคุณพ่อ คุณแม่ น้องชาย น้องสาว แต่เพราะเป็นวันพ่อ เมื่อได้รับการชักชวนให้พาคุณพ่อไปเที่ยวกันแบบ 2 คนบ้าง "บีม" กวี ตันจรารักษ์ ก็ไม่รีรอที่จะตอบรับ เช่นเดียวกับ คุณพ่อวีระศักดิ์ ตันจรารักษ์ ที่ยินดีเช่นกัน
โดยทั้งคู่เลือกที่จะเดินทางไปชมความงามของพระเมรุ และนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ในวันที่ 18-30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
และด้วยความที่วันว่างของบีม หายากเหลือเกิน เมื่อถึงวันที่ไปชมก็เป็นวันที่ใกล้จะปิดให้เข้าชมเต็มที จึงมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมากันอย่างหนาแน่น แถมหนุ่มบีมก็ออกจะดังเปรี้ยงปร้างซะขนาดนี้ ก็เลยต้องถูกรุมเป็นธรรมดา
การมาชมครั้งนี้บีมไม่ลืมที่จะพกกล้องถ่ายรูปตัวโปรดมาเก็บภาพความประทับใจ จนผู้เป็นพ่อแอบแซว "เมื่อก่อนพ่อชอบถ่ายรูปมาก วันนี้เปลี่ยนเป็นลูกแทน" และจุดแรกที่เลือกเดินไปชม คือ พระที่นั่งทรงธรรม พลับพลาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อครั้งในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ที่แห่งนี้ บีมและพ่อ ได้นั่งพับเพียบเป็นการแสดงเคารพและเก็บภาพเป็นที่ระลึก ครั้งนี้บีมเป็นฝ่ายแซวพ่อเข้าให้บ้าง "นั่งไหวหรือเปล่าพ่อ" ทำให้พ่อถึงกับสวนกลับทันที "โธ่เอ๊ย แค่นี้เอง หาว่าพ่อแก่ซะแล้ว"
บนพระที่นั่งทรงธรรมแห่งนี้ ยังเป็นที่ประดิษฐานของ พระแท่นแว่นฟ้าบุษบก ซึ่งเป็นลักษณะซุ้มเรือนยอด มีหลังคาซ้อนชั้นเป็นยอดแหลม ใช้ประดิษฐานพระโกศพระอัฐิของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวง หลังจากที่เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญลงจากพระเมรุ ก่อนที่จะเชิญพระโกศพระอัฐิจากบุษบกพระแท่นแว่นฟ้าทองไปประดิษฐานในบุษบกพระที่นั่งราเชนทรยานเพื่อเชิญเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
ระหว่างเดินชม บีม สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงจำนวนผู้เข้าชมก่อนจะถึงวันปิดอีกไม่กี่วันข้างหน้า "ยอดคนเข้าชมตอนนี้เท่าไหร่แล้วครับ" เจ้าหน้าที่ให้คำตอบว่าประมาณ 6 ล้านคน เมื่อได้คำตอบบีมทำหน้าทึ่ง แล้วยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา ก่อนหันไปเรียกพ่อให้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก
จากนั้นเดินข้ามฝั่งไปยัง พระเมรุ ซึ่งสร้างโดยคติความเชื่อตามราชประเพณีโบราณที่ให้ความสำคัญและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เปรียบเสมือนสมมุติเทพตามระบอบเทวนิยม เมื่อสวรรคตหรือสิ้นพระชนม์นั้นหมายความ ว่าได้เสด็จกลับสู่สวรรคาลัย ณ เทวาลัยสถาน คือเขาพระสุเมรุ การออกแบบพระเมรุจึงได้สื่อถึงคติทางพระพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิ อันหมายถึงภพของจักรวาล ที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง และรายล้อมด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์ วิมานท้าวจตุโลกบาล เหล่าทวยเทพ ณ สวรรค์ชั้นฟ้าหรือสรรพสัตว์ต่างๆในป่าหิมพานต์
"ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มา แถมได้มากับพ่อด้วย แล้วก็สวยจริงๆ เวลามองไกลๆ ผมไม่คิดว่าทุกอย่างจะทำด้วยมือได้ขนาดนี้ เรียกว่าเป็นงานฝีมือที่ละเอียดมาก" บีมกล่าวถึงความงดงามของพระเมรุ ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ชื่นชมพระเมรุ โดยบีมอาสาเป็นตากล้องประจำตัวให้พ่อกันพักใหญ่ ทั้งคู่ก็เดินไปยังฝั่งนิทรรศการจัดแสดงภาพวาดพระประวัติและพระกรณียกิจในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
หลังจากเดินชมกันจนครบส่วนสำคัญ ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี สองพ่อลูกจึงชี้ชวนกันไปหาของกินที่ถนนด้านข้างศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ระหว่างกินเลยได้เวลาถามไถ่ถึงความผูกพันระหว่างพ่อลูกของทั้งคู่
บีม เริ่มออกตัวเล่าก่อน "ตอนเด็กๆ เวลาไปไหนก็จะไปกันทั้งครอบครัว มีพ่อ แม่ ผม น้องชาย 2 คน แล้วก็บัว(สโรชา) ส่วนใหญ่ก็ไปเขาดิน สวนสนุก สนามหลวงก็เคยมานะ มาเล่นว่าว ดูพระราชวัง แต่พอโตเวลาน้อย ผมทำงาน น้องชายก็ไปเป็นหมอใช้ทุนที่ต่างจังหวัด เวลาเจอกัน ก็จะไปหาอะไรกินซะมากกว่า ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวแล้ว ยังคิดเลยว่าอยากจะหาเวลาไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว" บีมเล่าถึงครอบครัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เมื่อถามถึงวัยเด็กของนักร้องคนดัง พ่อ เล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ว่า "บีมมีปัญหาตั้งแต่ตอนคลอด เขาหัวโตมาก จนหมอต้องเอาคีมดึงตัวออกมา ทำให้เขาหยุดหายใจไปพักหนึ่ง แม่เขาร้องไห้ร้องห่ม แต่หลังจากนั้นเขาก็ดีขึ้น เพียงแต่กลับบ้านไม่พร้อมแม่ต้องอยู่ตู้อบ 2-3 วัน แล้วพอโตมาหน่อยก็ชอบท้องเสีย ไม่รู้ทำไม ก็เลยจะผอมแล้วก็หัวโต"
พอถามถึงลูกชายที่ประสบความสำเร็จมาได้ถึงวันนี้ พ่อ บอกว่า "รู้สึกดีใจนะ เขาเป็นที่เอาใจใส่ในสิ่งที่ทำ ทั้งทำงานแล้วเรื่องเรียนก็ไม่ทิ้ง มีความรับผิดชอบ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ให้เงินพ่อทุกเดือนเลยนะ ทุกวันนี้ถ้าห่วงก็จะห่วงเรื่องสุขภาพของเขา เขาเป็นผู้ชายไม่ค่อยใส่ใจตัวเอง พ่อกับแม่จะหาอาหารเสริมมาให้กิน แต่เขาก็ไม่ค่อยกินหรอก ต้องบังคับ ดื้อ" พูดมาถึงตรงนี้ลูกชายเริ่มมีข้อโต้แย้ง "ก็แหม...ยาเยอะมาก เป็นกำเลย เรียกว่ากินแค่ยาก็อิ่มเลยล่ะ"
หันมาถามลูกชายถึงความรู้สึกที่มีต่อพ่อคนนี้บ้าง บีม บอกว่า "พ่อน่ารัก เมื่อก่อนไม่ค่อยกล้าแสดงออกว่ารักลูก แต่เดี๋ยวนี้แสดงออก ห่วง ดูแลมากขึ้น ถ้าถามว่าบีมห่วงอะไรพ่อ ก็จะห่วงกลัวว่าจะเหงา เพราะพ่ออยู่บ้านไม่ได้ไปไหน แม่ก็จะออกไปทำนั่นทำนี่..." พูดไม่ทันจบคราวนี้ถึงทีพ่อตอบกลับอย่างรวดเร็วบ้าง "ไม่เหงาหรอก พ่อก็ตามแม่ไปงานไง" ได้ยินดังนั้น บีม เริ่มคิด "เมื่อก่อนจะห่วงเรื่องสุขภาพ แต่ตอนนี้ก็ไม่ห่วงแล้ว เพราะน้องชาย 2 คนเป็นหมอก็ดูแลได้อย่างดี ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วสิ มีแต่ว่าอยากให้ไปเที่ยวด้วยกัน" บีมกล่าว
เห็นสองพ่อลูกอยู่ด้วยกัน คุยกัน สัมผัสได้ว่าเป็นพ่อลูกที่แสนจะน่ารักอีกคู่หนึ่ง และไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นความสำเร็จของบีมในวันนี้ อ่านจบแล้วลองมองย้อนกลับไป วันนี้ได้ทำอะไรหรือบอกรักคุณพ่อของตัวเองบ้างแล้วหรือยัง ?