คอลัมนิสต์

ตำรวจหรือโจร?

ตำรวจหรือโจร?

11 เม.ย. 2555

ตำรวจหรือโจร? : โลกตำรวจ โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข

             “ผมทำจริงครับ” นายตำรวจซึ่งเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ต้องหานั่งอยู่ในห้องที่ใช้สำหรับสอบสวนคดียาเสพติด ด้านหน้าของเขาคือนายตำรวจรุ่นพี่ในฐานะหัวหน้าชุดจับกุม ด้านซ้ายคือรุ่นพี่ในฐานะครูพี่เลี้ยงที่สอนประสบการณ์ในการทำงานปราบปรามยาเสพติดและตำรวจชั้นประทวนในฐานะผู้เคยเป็นลูกน้องแต่กลับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่หลักในการวางแผนและเข้าจับกุมเขาในครั้งนี้กล่าวสารภาพด้วยน้ำตานองหน้า พร้อมโอดครวญขอความเมตตาไม่แตกต่างจากในยามที่เขาจับกุมผู้กระทำความผิดในข้อหายาเสพติดรายอื่นๆ เพื่อขอความเห็นใจในการช่วยเหลือลดหย่อนโทษด้วยข้ออ้าง “มีลูกมีเมีย มีพ่อแม่ต้องดูแล ลูกยังเล็ก หลงผิดไปแล้ว สำนึกได้แล้ว เพิ่งทำเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง” และอื่นๆ อีกมากมาย
 
              การถกเถียงอภิปรายเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่มาและหาทางออกที่ดีที่สุดโดยนำมิติของคุณธรรม จริยธรรม และความรู้สึกของความเป็นมนุษย์เป็นพี่เป็นน้องเข้ามาร่วมใช้เป็นเหตุผลหักล้างซึ่งกันและกันเริ่มต้นขึ้น
 
              “เวลามีคดีเกิดขึ้น เขามาหาเรา เราไม่รู้จักเขาเลย เขาขอให้เราช่วย ทำให้หนักเป็นเบา หาทางออกให้เขา เพื่อให้เขามีโอกาส เรายังทำให้เขา แล้วนี่น้องของเราแท้ๆ มันเป็นน้อง เรียนตามเรามา แล้วเราจะไม่ช่วยมันเลยเหรอ” นายตำรวจหนึ่งในกลุ่มรุ่นพี่เปิดประเด็น
 
              วัฒนธรรมของการไกล่เกลี่ยและเกลี้ยกล่อมเพื่อให้คู่กรณีตกลงยินยอมประนีประนอมต่อกันนั้นเป็นวิถีประจำวันในโลกการทำงานของตำรวจ ปฏิบัติการดังกล่าวซึมลึกจนกระทั่งเกิดความคุ้นเคย เคยชิน และปรับเปลี่ยนรูปแบบจนเกิดความคุ้นชินต่อการดำคดี บิดคดี หรือเป่าคดี หากแต่สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้นเป็นคดีนโยบายที่มิสามารถจะกระทำได้ในลักษณะเช่นเดียวกันกับคดีอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย
 
              “ลองคิดดูสิ ไอ้กลุ่มคนที่จับ มันเลวกว่าน้องเรามั้ย ทุกคนก็รู้ว่าพวกมันเลวขนาดไหน” นายตำรวจอีกคนเสริมเหตุผลของความชอบธรรมในการช่วยเหลือน้องผ่านการเปรียบเทียบพฤติกรรมการทำงานของทีมตำรวจปราบปรามยาเสพติด หากแต่กลับกลายเป็นกลุ่มบุคคลที่ติดกับดักพัวพันเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเสียเอง
 
              “เส้นแบ่งระหว่างการเป็นตำรวจกับการเป็นโจรมันบางมาก มันต้องมีสติ รู้ตัว ต้องควบคุมความโลภของมัน และต้องใช้ปัญญาหากมันคิดจะเดินสายนี้” นายตำรวจใหญ่แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างด้วยน้ำเสียงเนิบช้า สีหน้าครุ่นคิด “ต้องสำนึกว่าเราเป็นตำรวจ แค่เสพยาก็ไม่ควรแล้ว แต่กลับทำตัวเป็นผู้จำหน่าย ความเป็นตำรวจมันหมดไปตั้งแต่คิดจะเดินเข้าเส้นทางสายโจรแล้ว ในเมื่อเขาเป็นคนถอดสัญลักษณ์และศักดิ์ศรีของความเป็นตำรวจไปสวมคราบโจร จนถลำลึกขนาดนี้ เขาก็ต้องพร้อมที่จะต้องยอมรับผลที่จะตามมา คำร้องขอความช่วยเหลือของเขาต้องได้รับคำตอบเช่นเดียวกับผู้ต้องหาคนอื่นๆ ที่เขาเคยจับมาเช่นเดียวกัน”
 
              “ไม่ใช่เหตุผลที่จะกล่าวอ้างว่าใครเลวกว่าใคร คนเลวและกระทำผิดกฎหมายต้องได้รับการจับกุมและรับโทษตามกฎหมายเช่นเดียวกันเมื่อทุกอย่างพร้อมและถึงเวลา” นายตำรวจใหญ่พูดเสียงดังฟังชัด ตรงไปตรงมา หากแต่ทุกคนในที่นั้นรู้สึกได้เช่นเดียวกันว่า พี่ใหญ่พูดด้วยความเมตตา ด้วยความปรารถนาดีที่พี่พึงมีต่อน้อง “กล้าทำก็ต้องกล้ารับ” คือข้อสรุปของทุกคนที่มีต่อการกระทำในครั้งนี้
 
              ในขณะที่ตำรวจรุ่นพี่ต่างขอความเมตตาให้แก่น้อง ดิฉันนึกถึงเหล่าบรรดาเยาวชนที่ตกอยู่ในฐานะเด็กติดยา เด็กเดินยา หรือเด็กขายยา คำพูดของเด็กวัยรุ่นอายุไม่ถึง 16 ปีที่เล่าถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่แห่งนี้ที่ว่า “มันไม่สนใจยาบ้ากันแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องสเก็ตอย่างเดียว” (สเก็ตเป็นคำเรียกในกลุ่มพวกเขาที่หมายถึงยาไอซ์) นึกถึงสภาพการขี่รถซิ่งจำนวนมากที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ การเข้าสถานบันเทิงของกลุ่มเด็กอายุไม่ถึง 18 ปีและการท้องไม่พร้อมจำนวนมากของกลุ่มเด็กหญิง
 
              สถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาจากหลายเหตุหลายปัจจัยหากแต่ความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในพื้นที่ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยชะลอความรุนแรงของปัญหาเหล่านี้มิใช่หรือ? ดิฉันตระหนักดีถึงข้อจำกัดและอุปสรรคมากมายของระบบการบริหารจัดการในองค์กรตำรวจ ระลึกอยู่เสมอว่าการเป็นตำรวจที่ดีนั้นแสนยากเข็ญและต้องทำงานอยู่ในภาวะสะเทินน้ำสะเทินบกเพียงใด แต่ดิฉันก็ยังคงมีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างจากประชาชนทั่วไปที่ต้องการให้ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน รวมถึงใฝ่ฝันที่จะได้ยินผู้นำตำรวจแถลงต่อประชาชนถึงยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ตำรวจปลดแอกจากระบอบและเบ้าหลอมของผลประโยชน์ทางการเมืองที่ไร้คุณธรรมจนทำให้กำลังพลของตำรวจต้องทำงานอยู่บนข้อจำกัดนานัปการหากผู้นำตำรวจไม่แก้ไขปัญหานี้ก็จะต้องทนเห็นสภาพลูกน้องของตนเองกลายเป็นโจรในที่สุด!