
กลไกราคาสินค้า
กลไกราคาสินค้า: บทบรรณาธิการประจำวันที่13มี.ค.2555
แม้ว่ารถโดยสารสาธารณะอย่างแท็กซี่ จะเป็นการให้บริการแบบทางเลือก ไม่ใช่ระบบขนส่งมวลชน แต่การควบคุมดูแลในเรื่องราคา โดยกรมการขนส่งทางบกเริ่มนำมิเตอร์คำนวณราคามาใช้เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนก็จำเป็นต้องให้อยู่ในกรอบของความพอดี สามารถรับได้ทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการ กล่าวคือ คนขับรถแท็กซี่ซึ่งไม่อาจแบกรับภาระราคาค่าแก๊สเอ็นจีวีหรือแอลพีจีได้อีกต่อไป ขณะที่ผู้โดยสารเองก็มีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่รุมเร้ารอบตัว การพบกันครึ่งทางจึงน่าจะเป็นจุดลงตัวที่สุด
การประกาศปรับราคาค่าโดยสารรถแท็กซี่ครั้งนี้ หากจะอ้างว่า ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะถึงอย่างไร ในเมืองใหญ่อย่างมหานครก็จำเป็นต้องมีบริการรถโดยสารทางเลือกเพื่อความสะดวกสบายปลอดภัย และเติมเต็มให้แก่ระบบขนส่งมวลชนให้เข้าถึงทุกตรอกซอกซอย เมื่อแท็กซี่ปรับราคาหน้ามิเตอร์ขึ้นไม่ว่าจะเป็น 5 บาท 10 บาท หรือ 15 บาทก็ล้วนแต่เป็นเงินที่ประชาชนผู้ใช้บริการต้องควักระเป๋าจ่ายเองทั้งสิ้น เช่นนี้แล้ว เมื่อผู้ให้บริการมีความจำเป็นจริงๆอย่างที่ว่า "อั้นไม่อยู่" จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาแบ่งเบาในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่กรีธาทัพกันปรับขึ้นไม่หยุดหย่อน
ก่อนหน้านี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้เคยแสดงผลงานการวิเคราะห์โครงสร้างราคาสินค้าจำพวกข้าวราดแกง อาหารตามสั่งเอาไว้แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ราคาต้นทุนเช่น ผัก เนื้อสัตว์ น้ำปลา และแก๊สจะปรับตัวสูงขึ้น แต่พ่อค้าแม่ขายทั้งหลายก็ยังสามารถตรึงราคาเอาไว้ได้แม้จะ "ขาดทุนกำไร" ไปบ้างก็ตาม ซึ่งการปรับราคาขายขึ้นไป 5 บาท 10 บาทก่อนหน้าสะท้อนให้เห็นว่า เป็นการปรับตามอำเภอใจไม่ได้สะท้อนต้นทุนการผลิต และกรมการค้าภายในเองก็ไม่มีทางไปไล่เบี้ยทุกร้านให้ลดราคาลงได้
คล้ายๆ กับราคามะนาว และไข่ไก่ที่เชื่อกันว่า เป็นไปตามระบบอุปสงค์อุปทาน เมื่อสินค้าออกสู่ตลาดน้อยราคาก็แพง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่เคยมีใครวิเคราะห์กลไกราคาเอาไว้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะมะนาว ซึ่งเป็นที่รับรู้กันมานานหลายปีว่า เมื่อเข้าหน้าแล้ง มะนาวให้ผลน้อย ราคาจึงแพงในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งถ้าหากภาครัฐได้สืบเสาะค้นหากันอย่างจริงจัง อาจพบว่าการกำหนดราคาอาจเป็นไปตามความเคยชินอย่างที่แล้วๆ มาก็ได้ เพราะจะว่าไปแล้ว ไม่ว่าฤดูไหนๆ คนไทยก็น่าจะบริโภคมะนาวเท่าเดิมและเพียงพอ ซึ่งแตกต่างกับการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา และน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยฤดูกาลด้วย
ในด้านกลับกัน ถ้าหากว่า เมื่อราคาสินค้าด้านการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น และไม่ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อนมากจนเกินไปนัก ก็น่าที่ค้นหาช่องทางทำให้ราคานั้นมีความ "เสถียร" เพื่อให้เกษตรกรสามารถลืมตาอ้าปากได้ อย่างเช่น ราคายางพารา ราคาข้าว ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าจะปรับตัวลงแล้ว แต่ก็ต้องถือว่าดีกว่าเมื่อทศวรรษก่อนนับเท่าตัว ทั้งนี้เมื่อรัฐสามารถวิเคราะห์ และเข้าถึงกลไกราคาแล้วก็จะทำให้ควบคุมราคาให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่ายได้ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร พ่อค้า และผู้บริโภค ไม่ใช่เอาแต่กล่าวอ้างเรื่องอุปสงค์ อุปทานและฤดูกาลแต่เพียงเท่านั้น