
ค่านิยมทางเพศ
ค่านิยมทางเพศ : บทบรรณาธิการประจำวันที่9มี.ค.2555
คงจะเป็นเรื่องปรับทุกข์ เล่าสู่กันฟัง พูดคุยกันปากต่อปากอยู่เนืองๆ ต่อไป คล้ายเป็นเหตุการณ์ปกติประจำวันในสังคมไทย ถ้าหากนักศึกษาสาวแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องทวงสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นหญิงของเธอว่า มีอาจารย์รายหนึ่งมีพฤติการณ์ลวนลามหรือคุกคามทางเพศ อย่างเช่น ลูบคลำต้นขานักศึกษาผู้สวมกระโปรงสั้น จับต้องเนื้อตัวนักศึกษาคนที่ใส่เสื้อรัดรูป ประมาณว่าหยอกเอิน หรือหมาหยอกไก่ รวมไปถึงใช้วิชาชีพความเป็นครูบาอาจารย์เป็นอาวุธต่อรองในเรื่องเพศ คือให้เกรดนักศึกษาหญิงหน้าตาและเรือนร่างต้องตาต้องใจในระดับดีๆ แต่กับรายที่ไม่ชอบกลับกดเกรดจนเกือบตก
จะว่าไปแล้ว ลักษณะการคุกคามทางเพศเช่นนี้ เกิดขึ้นได้ในแทบทุกวงการ โดยเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การงานต่างๆ ที่ฝ่ายชายสามารถให้คุณให้โทษแก่ฝ่ายหญิงได้ เมื่อตัณหาอยู่เหนือมโนธรรม เข้าครอบงำจิตใจเมื่อใด เขาผู้นั้นก็พร้อมจะลงมือกระทำย่ำยีกับเพศตรงข้ามทันทีที่โอกาสอำนวย หากแต่ในสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏแหล่งผลิตบัณฑิตด้านการศึกษา ที่ต้องเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้เหตุการณ์ดังว่าเกิดขึ้นได้ หรือในกรณีการกลั่นกรองบุคลากรเข้าสู่ระบบของมหาวิทยาลัยเกิดรูรั่วขึ้นบ้าง ก็จำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจะต้องเร่งปิดรอยรั่วนั้นเสีย ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนหาข้อเท็จจริง ลงโทษ และวางมาตรการป้องกันในลำดับต่อไป
ดังที่กล่าวมา ยังเป็นความประพฤติหรือตัณหาราคะ ซึ่งเป็นความผิดเฉพาะบุคคล ที่สามารถแก้ไขหรือป้องปรามได้ด้วยมาตรการทางกฎหมาย หากแต่ทัศนคติ ค่านิยมในเรื่องเพศที่ฝังรากลึกลงในสังคมของเราต่างหากที่เป็นต้นตอการคุกคามอย่างแท้จริง และต้องใช้เวลาในการอบรมบ่มเพาะเพื่อให้สังคมเกิดการเรียนรู้ถึงความเท่าเทียมและเคารพในศักดิ์ศรีของเพศแม่ไปพร้อมๆ กับมาตรการลงโทษทางสังคมที่ต้องเข้มแข็งมากพอที่จะทำให้เห็นพ้องต้องกันว่า พฤติกรรมคุกคามทางเพศานั้นเป็น "ความชั่ว" อย่างหนึ่ง ซึ่งประนีประนอมยอมความกันไม่ได้
ถามว่า แล้วเราจะเริ่มต้นบ่มเพาะ สร้างการเรียนรู้กันตรงจุดไหน คำตอบไม่น่าจะพ้นไปจาก ทุกส่วนของสังคมต้องเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน ทั้งการประณามหยามหยันและใช้มาตรการทางกฎหมาย อย่างหลายกรณีการคุกคามด้วยวาจาที่เคยเกิดขึ้นกับนักการเมืองหญิงบางคน ทั้งฟากฝั่งของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ถือเป็นตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด อันสามารถพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์ว่า เมื่อยุคที่ประเทศไทยได้แสดงความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิสตรีถึงขนาดมีนายกรัฐมนตรีเป็นหญิงคนแรกนั้น การคุกคามเพศแม่ก็ยังมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ในแวดวงในกลุ่มคนที่ควรเป็นตัวอย่างของสังคม ทั้งวงการการเมืองและสถาบันการศึกษา ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของการ "ดัดนิสัย" นอกจากต้องใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นแล้ว ใช้มาตรการลงโทษทางสังคมที่จะต้องเข้มแข็งมากขึ้นด้วยแล้ว การสร้างค่านิยมที่เหมาะที่ควรก็พึงต้องเริ่มต้นขึ้นในแวดวงชนชั้นนำไปพร้อมกัน