
อบายมุขกับสังคมไทย
อบายมุขกับสังคมไทย : บทบรรณาธิการประจำวันที่28ม.ค.2555
อบายมุขหรือที่แปลความเข้าใจง่ายว่า ทางแห่งความเสื่อม หรือทางแห่งความฉิบหาย แบ่งเป็นอบายมุข 4 และอบายมุข 6 โดยรวมแล้ว หนทางแห่งความฉิบหายเสื่อมทรุดลงของคนหรือของสังคมนั้น ประกอบด้วย ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการทำงาน หากพิจารณาทั้ง 6 ข้อนี้โดยรวมแล้วจะเห็นได้ว่า สังคมไทยไม่อนุญาตยินยอมหรือสนับสนุนให้ผู้คนข้องแวะอบายมุขทั้งหลายทั้งทางกฎหมาย และทางจารีตศีลธรรมมาแต่ครั้งบรรพกาล อย่างข้อที่ว่าดื่มน้ำเมานั้น ก็หาใช่เพียงแค่สุรา หากแต่ย่อมรวมถึงยาเสพติดทั้งหมดที่มีอยู่บนโลกนี้ด้วย การเล่นการพนันที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมายอย่างสลากกินแบ่ง และการแข่งขันชิงโชคต่างๆ การคบคนชั่วและเกียจคร้านนั้นก็เป็นข้อที่ว่าด้วยเรื่องระบบธรรมาภิบาล ต่อต้านการฉ้อฉลโกงกิน โป้ปดมดเท็จ ขณะที่การเที่ยวกลางคืนเที่ยวดูการเล่นน่าจะกินความถึงสถานบริการเริงรมย์ต่างๆ ในยามค่ำคืน ซึ่งย่อมรวมไปถึงการค้าประเวณีด้วย
บ่อนการพนัน สถานบริการเปิดเกินเวลาเป็นแหล่งมั่วสุมของเยาวชน ยาเสพติดที่กำลังระบาดอย่างหนักในทุกระดับไม่เลือกชั้นชน ปัญหาเมาแล้วขับซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการล้มตายมากมายในทุกๆ เทศกาลและอีกหลายปัญหาตามมาทั้งปัญหาครอบครัวและโรคภัยไข้เจ็บ คือภาพรวมของสังคมไทยยามนี้ ประหนึ่งว่า ไม่ว่าจะแลหาแลเห็นทางไหนก็ล้วนแต่เป็นประตูแห่งความฉิบหายเสื่อมทรุด ซึ่งผู้คนกำลังเข้าคิวเบียดเสียดยื้อแย่งกันเดินเข้าไปราวกับหารู้ไม่ว่า นั่นคือหนทางไปสู่นรก ยิ่งไปกว่านั้น ภาพข่าวที่ปรากฏออกมาล่าสุดว่า บ่อนพนันได้ว่าจ้างนางแบบเข้าไปเปลือยอกเพื่อเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าด้วยแล้ว ยิ่งอาจทำให้จินตนาการได้ว่า ในเวลาอันใกล้นี้สังคมไทยจะไปไกลถึงปลายทางแห่งความวิบัติโดยแท้ อย่างเช่น การลงทุนสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อันประกอบไปด้วยอบายมุขครบวงจร บ่อนการพนันทุกรูปแบบ สถานค้าบริการทางเพศ แหล่งจำหน่ายยาเสพติด สถานที่ฟอกเงินของนักการเมืองฉ้อฉล
แม้จะมีความพยายามรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่า มาตรการเช่นนี้ อย่างมากก็คือ การขอร้อง คว่ำบาตร และประจานทางสื่อต่างๆ เพื่อใช้พลังสังคมกดดัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าหากการบังคับใช้กฎหมายยังคงหย่อนยานไม่เคร่งครัดจริงจัง การรณรงค์ก็ประหนึ่งว่าจะเป็นเรื่องสูญเปล่า ซึ่งถ้าปล่อยไปเช่นนี้ ย่อมรังแต่จะทำให้สังคมยิ่งเสื่อมทรุดเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความหายนะดังกล่าวมา ทั้งนี้นอกจากภาครัฐพึงต้องเอาใจใส่การบังคับใช้กฎหมายแล้ว ในอีกทางหนึ่ง ก็ควรให้ "คุณค่า" ทางด้านศีลธรรมจรรยามากขึ้นด้วย เช่น วางมาตรการต่อต้านอบายมุขอย่างจริงจัง สร้างหลักภรรมาธิบาล ขจัดการโกงกิน เลิกระบบอุปถัมภ์และอามิสสินจ้างรางวัลต่างๆ ในทุกระดับของสังคม เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องลงมือทำอย่างจริงจังทันที เพื่อเรียกคืนสังคมแห่งความสงบร่มเย็นดังเช่นสังคมพุทธพึงจะเป็นกลับมา