
ยุคทอง
ถ้าถามคนอเมริกันว่ายุคใดสมัยไหนคือยุคทองของอเมริกา คำตอบส่วนใหญ่ที่จะได้รับก็คือ ยุคทศวรรษ 1960 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ยุคซิกตี้ส์ คำว่ายุคทองในความหมายโดยทั่วไปนั้นอาจหมายถึงยุคที่บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง
เศรษฐกิจอยู่ในสภาพดีมีความคล่องตัว หรือช่วงเวลาที่ประเทศชาติสงบร่มเย็น ประชาชนมีความสุขกายสบายใจตามอัตภาพ ซึ่งทั้งสองความหมายมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก คือในความหมายแรกเป็นเรื่องเศรษฐกิจนำชีวิต แต่ในความหมายที่สองเป็นเรื่องของความสุขนำชีวิต ซึ่งความสุขนั้นไม่จำต้องพึ่งอิงเศรษฐกิจเสมอไป
ย้อนกลับไปยังยุคทองของอเมริกา ยุคนั้นเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจบสิ้นลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตรที่มีสหรัฐเป็นหัวโจก เป็นยุคที่อเมริกาตัวพองเต็มที่ ทั้งในฐานะผู้พิชิตสงคราม และผู้พิทักษ์โลก (ตามอิทธิพลของนิยายภาพต่างๆ) ขณะเดียวกันสหรัฐก็เข้าไปมีบทบาททางเศรษฐกิจ การค้า การเมือง และความมั่นคง ในประเทศอาณานิคมต่างๆ แทนที่ประเทศจักรวรรดินิยมเดิม
ทำให้ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก จากดินแดนท้องทุ่งที่ไกลปืนเที่ยงก็กลายเป็นศูนย์กลางของความเจริญต่างๆ อันนำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมหาศาล ชาวอเมริกันในยุคซิกตี้ส์ จึงมีชีวิตในแบบบริโภคนิยมที่สะดวกสบาย และแสวงหาความสนุกสนาน เกิดดนตรี การเต้นรำ บทเพลง แฟชั่น และวัฒนธรรมแบบอเมริกัน ที่แพร่กระจายออกไปทั่วโลก
ถ้าถามคำถามเดียวกันนี้กับคนไทย เชื่อได้ว่าคำตอบส่วนใหญ่คือรัชสมัยรัชกาลที่ 5 รองลงไปคือยุคสุโขทัย คนที่ตอบว่ายุคทองของไทยคือรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มักจะอธิบายว่าเพราะในยุคนั้นเมืองไทยยังอุดมสมบูรณ์ กรุงเทพฯ ก็สงบร่มเย็นเต็มไปด้วยต้นหมากรากไม้และคูคลอง ส่วนที่ย้อนยุคไปถึงสุโขทัยก็เนื่องจากฝังใจในถ้อยคำที่ว่า “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว”กับ “ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าคำค้า พ่อเมืองบ่เอาจังกอบ”
จะเห็นได้ว่ายุคทองของคนอเมริกันกับคนไทยแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด และตีความของคำว่ายุคทองไปคนละทาง ตามวิถีชีวิต แนวคิด จารีต และขนบนิยมของแต่ละชาติ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ยุคทองทั้งของอเมริกาและไทยนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ล่วงเลยมาแล้วทั้งสิ้น ยุคทองของอเมริกาก็ผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว ส่วนของไทยถอยไปไกลกว่านั้นเป็นร้อยและหลายร้อยปี ซึ่งคนที่ให้คำตอบอาจจะไม่เคยหรือไม่มีโอกาสสัมผัสสิ่งที่ตนเองเรียกว่ายุคทองเลยด้วยซ้ำ
ถ้าถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็น่าจะตอบได้ว่าเพราะยุคทองสมัยซิกตี้ส์ ของอเมริกันชนก็ดี หรือยุคทองสมัยรัชกาลที่ 5 หรือสุโขทัยก็ดี ต่างก็เป็นเรื่องในจินตนาการหรือความนึกคิดจากรูปภาพและคำบอกเล่า ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ข้อมูลที่สมบูรณ์ครบถ้วน และที่สำคัญก็คือเป็นข้อมูลเพียงด้านเดียว โดยไม่มีโอกาสทราบถึงปัญหาและความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนในยุคดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน
ในวันนี้ เราอาจอยู่ในยุคที่ย่ำแย่จากผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีต จะเห็นว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยประสบกับเรื่องเลวร้าย และก็อาจจะไม่ใช่ครั้งที่แย่ที่สุดเช่นกัน จากประวัติศาสตร์ใกล้ตัวจะพบว่าประเทศไทยเคยเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่มาแล้ว ในช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เคยตกอยู่ในภาวะสงครามสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา เคยเกือบเป็นโดมิโนตัวหนึ่งช่วงปลายสงครามเวียดนามรวมทั้งสภาพเศรษฐกิจฟองสบู่ที่นำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แน่นอนว่า วันนี้ย่อมไม่ใช่ยุคทองของไทย แต่ถ้าเรามองออกไปข้างหน้า เราก็อาจจะเห็นแสงทองที่ปลายอุโมงค์ และถ้าเราไม่สิ้นแรงใจที่จะก้าวเดินต่อไป ยุคทองอาจจะรอคอยเราทุกคนอยู่ที่นั่นก็ได้
อย่าโหยหายุคทองในอดีต แต่เราจงมุ่งหน้าไปสู่ยุคทองของไทยในอนาคตกันเถอะครับ



