
หนูกับแมว ในโลกของตำรวจ
สงสารตำรวจ เหมือนกันนะ เขาไปจับมามันก็เสี่ยงมาก ไม่ใช่จับง่ายๆ จับมาเยอะๆ ต้องรีบทำสำนวน เราก็อ่านกันหนาขนาดนี้ บางทีอ่านแล้วเราบอกว่าให้ไปสอบเพิ่มอีก อัยการพูดกับดิฉันถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการทำคดีแข่งรถในทางสาธารณะ
ขณะที่นายตำรวจบ่นระบายความรู้สึกที่มีต่องานป้องกันและปราบปรามการขี่รถมอเตอร์ไซค์ของวัยรุ่นว่า “มันเกลียดเราน่ะ ไม่ได้เกลียดแป๊บเดียวนะ มันเกลียดไปทั้งชาติเลย” คำว่ามันนั้นผู้พูดหมายถึงเด็กที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ด้วยลีลาที่เสี่ยง สรรพนามที่ใช้เรียกขานบ่งบอกความรู้สึกที่ไม่ดีนักของนายตำรวจที่มีต่อเด็กวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าว ในขณะที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นบอกดิฉันว่า "โคตรมันส์เลย ยั่วมัน มันก็ไล่นะ ยิงปืนขึ้นฟ้า พวกเราขี่หนี มันก็ไล่ตาม ผมหนีจนยางแตก วันนั้นไอ้แบงค์นั่งซ้อนผม มือมันถือดาบไว้ไม่ยอมทิ้งเลย ถ้าโดนจับสงสัยโดนซ้อมแน่ แต่ไม่มีใครโดนจับสักคน ถ้าลองพวกเราได้ขี่รถแล้ว พวกมันตามไม่ทันหรอก" แมนซุ้มบ้านสร้างคุยโอ้อวดถึงวีรกรรมตัวเองกับพวก
เด็กวัยรุ่นรู้ดีว่าตำรวจทำงานกันเป็นทีม โดยใช้วิทยุส่งข้อมูลและดักจับ แต่ด้วยความชำนาญเส้นทาง รู้จักตรอกซอกซอยต่างๆ เป็นอย่างดี ประกอบกับความมั่นใจในการใช้ความเร็ว ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าตำรวจไม่มีทางตามพวกเขาทัน แต่หากถูกจับ พวกเขาจะใช้ทุนทางสังคมที่มีอยู่คือ ให้เพื่อนที่เป็นลูกหลานตำรวจไปเอารถออกโดยไม่ต้องเสียเงิน หรือใช้ "ลูกอ้อน" ดาเล่าถึงกลยุทธ์การต่อราคาค่าปรับ เมื่อครั้งที่เขาถูกตำรวจจับข้อหาไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่ให้ดิฉันฟังว่า เช้าวันนั้น เขาขับรถกลับบ้านหลังจากเสร็จสิ้นการรวมกลุ่มกับเพื่อนเสพยาเสพติดตลอดคืนที่ผ่านมา "ผมตีหน้าเศร้าเข้าไปหามันบอกว่า ผมมีเงินแค่ 200 เอง ผมไปทำงานหาเงินมา ถูกจับตั้งแต่เช้า แค่นี้มันก็ยอมลดให้แล้วจาก 400 เหลือ 200"
แม้ว่า แมวในฐานะผู้จับจะรู้สึกเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย ระอา เคร่งเครียด แต่เด็กวัยรุ่นหรืออุปมาอุปไมยในฐานะหนูกลับรู้สึกสนุกสนาน ท้าทาย “พอเห็นหน้ามันเท่านั้นแหละ พี่เอ๊ย มือไม้อ่อนหมดเลย มันเห็นผม มันยังพูดเล่นกับผมอีกนะ มันบอก ไอ้แคปมึงมานี่เลย มึงเจอกูอีกแล้วนะ แหมมันพูดอย่างกับว่าผมอยากเจอมัน” แม้ว่าจะถูกจับ แต่น้ำเสียงที่เล่าถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจคู่อริยังดูขบขัน สนุกสนาน "จับลูกเขา เขาก็บอกว่าลูกเขาเป็นเด็กดี ความจริงเขาต้องช่วยเราควบคุมลูกด้วย" นายตำรวจพูดถึงพ่อแม่ของเด็กๆ ผู้ใช้ชีวิตในโลกความเสี่ยงและความรุนแรงด้วยน้ำเสียงเชิงต่อว่าแต่แฝงด้วยการขอความเห็นใจ คืนหนึ่งดิฉันนั่งอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวริมบาทวิถี เด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่อายุราว 15 ปี ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาด้วยความเร็ว เร่งเครื่องเสียงดัง บ้างก็ยกล้อ บ้างก็เร่งเครื่องแข่งกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ เด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่กับดิฉันพยักพเยิดให้ดูพร้อมกับพูดว่า
“ไอ้พวกนี้มันห้าว มันไม่ธรรมดานะ อายุสิบสี่สิบห้ามันพกปืน ไล่ยิงกันกลางถนน”
เด็กเหล่านี้ใช้ชีวิตเป็นเด็กซุ้ม เลือกเดินตามทางรุ่นพี่ หัวหน้าซุ้มเป็นลูกชายคนเล็กของทนายความมีชื่อในจังหวัด คำพูดทิ้งท้ายของเด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่ข้างดิฉันที่ว่า “ผมว่าผมเลวแล้ว ไอ้พวกนี้มันสุดๆ กว่าพวกผมหลายเท่า มันถือว่ามีพ่อมีพี่มันคุ้มกะลาหัว” ทำให้ดิฉันเข้าใจถึงเหตุผลของปริมาณคดีจำนวนไม่น้อยไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องมาจากผู้เสียหายไม่ยอมให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้อความด้านท้ายรถปิกอัพที่เขียนว่า “มึงพวกใครกูไม่ว่า แต่พวกข้า...” ตอกย้ำความคิดที่ว่า เด็กในวันนี้ก็คือภาพสะท้อนปัญหาของผู้ใหญ่นั่นเอง "แค่พวกกันก็ช่วยแล้วนะ หากเป็นเพื่อนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เวลาโทรมาบอกว่ามีเรื่อง ผมคว้าปืนรีบไปเลย ผมไม่สนใจ ผมเต็มร้อย ยิงเองเลย"
ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข