คอลัมนิสต์

'ทักษิณ'สนุกจนลืมน้องสาวผู้น่าสงสาร

'ทักษิณ'สนุกจนลืมน้องสาวผู้น่าสงสาร

18 ส.ค. 2554

สนุกจนลืมน้องสาวผู้น่าสงสาร : ขยายปมร้อน โดย ศรายุทธ สายคำมี

           เป็นเรื่องที่รอไม่ได้จริงๆ สำหรับความกระหายที่จะลิ้มรสผลแห่งชัยชนะ สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร

            ถึงแม้ว่าใครต่อใครตั้งคำถามเชิงปรามาสเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้วว่า ถ้าได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย ได้กลับมาเป็นรัฐบาล น้องสาวได้เป็นนายกฯ แล้วทักษิณจะรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไม่ประสีประสาการเมืองได้มั่นอกมั่นใจในทุกก้าวย่างท่ามกลางเสือ สิงห์ กระทิง แรด แล้วค่อยโผล่หัวยืดอกมาบอกว่า ความสำเร็จของน้องสาวนั้น มีพี่ชายที่แสนดีอยู่เบื้องหลัง

            ความจริงอาการมันก็ออกมาแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ว่า ทักษิณ รอไม่ได้

            ทันทีที่รู้ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการทีวีทุกช่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เวลาเดียวกัน แต่ก็ประมาณว่า "ไม่ต้องรีบ ได้ทุกคน"

            แล้วทักษิณ ในวันนั้นก็เปลือยจนหมดเปลือกว่า อยากจะออกมาพูด (ถึงความสำเร็จ) ตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งเสียอีก

            ความมั่นใจของ ทักษิณ ในวันนั้นยิ่งมากเท่าไหร่ ก็กระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวน้องสาวมากเท่านั้น

            เริ่มจากการดึงพรรคร่วมรัฐบาลที่ทักษิณ ก็พูดตั้งแต่แรกแล้วว่า แม้จะได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา ก็จะเลือกพรรคขนาดเล็กมาร่วมรัฐบาล

            รุ่งขึ้นก็ได้รับการการันตีจากน้องสาว ที่ตอนนั้นเป็นว่าที่นายกฯ หญิงคนแรกของประเทศ ว่าเอาตามนั้น

            จากนั้นเป็นช่วงการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งก็ถูกจับตามองว่า โควตารัฐมนตรีใครได้เท่าไหร่ อย่างไร

            แล้วก็มีข่าวว่า บรรหาร ศิลปอาชา ผู้มีบารมีแห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ไปพบทักษิณ แล้วก็กลับมาด้วยความสุโขสโมสร และมีกระแสข่าวว่า "ได้ตามที่ขอ" และสุดท้ายก็ได้อย่างนั้นจริงๆ

            ตัวอย่างของ บิ๊กเติ้ง กลายเป็นกรณีศึกษาให้คนในพรรคเพื่อไทย...หลายกลุ่มจึงบินไปดูไบเป็นว่าเล่น

            ในขณะที่ยิ่งลักษณ์ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เข้าใจว่า โผ ครม.นั้นตนจัดเองกับมือ ยืนยันว่าจัด โผ ครม.กันที่กรุงเทพฯ นี่แหละ

            สุดท้าย ทักษิณ ก็โผล่มาฉีกหน้า เปิดปากกับสื่อแดนปลาดิบว่า เป็นผู้แนะนำให้ยิ่งลักษณ์จัดโผ ครม.

            แต่ที่เละเป็นโจ๊กตกตึก น่าจะเป็นเรื่องที่ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ซึ่งนานาชาติเขาถือว่าเป็น "เบอร์ 2" ของประเทศ รองจากผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดี ฝ่าไปร้องขอให้ญี่ปุ่นเปิดบ้านรับทักษิณ เข้าประเทศเป็นกรณีพิเศษนั่นแหละ

            ครั้งแรกก็อ้ำอึ้งพูดครึ่งเดียว จนกระทั่งเลขาฯ ครม.ญี่ปุ่น เขาอดรนทนไม่ไหว แถลงออกมาอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลไทยร้องขอไป โดยอ้างว่าทักษิณจะไปช่วยเหลือเหยื่อสึนามิและแผ่นดินไหว รวมทั้งจะทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นระดับทวิภาคีแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

            ยิ่งลักษณ์ซึ่งแบ่งรับแบ่งสู้มาโดยตลอด ก็ถึงเวลาที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกว่า ทางการไทยได้ช่วยเหลือทักษิณ ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี

            ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งลักษณ์ยังไม่อาจปฏิเสธได้ว่า "รับรู้" การเคลื่อนไหวของทักษิณมาโดยตลอด หลังจากที่คนวงในบอกว่า หลังจากไปญี่ปุ่น ประเทศต่อไปคือ กัมพูชา

            แต่ยิ่งลักษณ์ก็ตอบได้แค่เพียงว่า การไปของทักษิณนั้นไม่ใช่ไปในนามตัวแทนประเทศไทย

            "เป็นเรื่องส่วนตัว" ...ปัญหาก็คือคำตอบของยิ่งลักษณ์ไม่ได้ตอบในฐานะ "น้องสาว" ที่รู้การเคลื่อนไหวของพี่ชาย หากแต่เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีหน้าที่ทำตามกฎหมาย และการปฏิบัติต่อนักโทษอย่างเคร่งครัด ไม่เว้นแม้ว่านักโทษคนนั้นจะเป็นพี่ชายหรือไม่

            ไม่เพียงเท่านั้น คนในพรรคเพื่อไทยยังหางานเพิ่มให้ได้อึดอัดใจในยามเจอกับนักข่าวอีกเรื่อง คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ยิ่งลักษณ์เองก็รู้แต่แรกว่า "เกินกำลัง" และพยายามบ่ายเบี่ยงมาตลอดว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และจะทำเพื่อคนส่วนใหญ่

            แต่ก็มีคนในเพื่อไทยปูดมาว่า จะแก้ให้เสร็จภายใน 3 เดือน

            เมื่อพูดถึงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องพูดถึงความผิดของทักษิณ ที่ดูเหมือนว่า จะไม่มีหนทางอื่นใดที่จะไปล้มล้างคำพิพากษาของศาลได้

            ดูเหมือนว่าทักษิณ จะสนุกสนานกับการแสดงความเป็นเจ้าของ "ชัยชนะ" จากการเลือกตั้ง และเข้าใจว่า เป็นเจ้าของประเทศที่จะทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย แต่ทักษิณกลับไม่คิดถึงน้องสาวที่เพิ่งเข้าโรงเรียนอนุบาลการเมืองมาไม่ถึง 100 วัน

            ทักษิณได้แต่เรียกร้องหาโอกาสให้แก่ตนเอง แต่ไม่ได้ให้โอกาสผู้เป็นน้องสาวผู้น่าสงสารเลยแม้แต่น้อย

            ไม่รับรู้ว่า ทุกวันที่ตื่นมาปฏิบัติหน้าที่ต้องเผชิญกับกองทัพนักข่าวที่รุมตั้งคำถามในสิ่งที่ตนไม่อาจควบคุมได้

            ความภาคภูมิใจของการได้เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงแค่ 49 วัน มันช่างแสนสั้นจริงๆ