คอลัมนิสต์

เกาะบริเตนสะเทือนไหว

เกาะบริเตนสะเทือนไหว

01 ก.ค. 2559

เกาะบริเตนสะเทือนไหว : โดยวิธีของเราเอง โดยไพฑูรย์ ธัญญา

ชัยชนะของการโหวตเพื่อการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ อียู ของประเทศอังกฤษ ที่หลายฝ่ายวิตกกันว่าจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนเป็นจริงขึ้นมาแล้ว สื่อทั้งในไทยและต่างประเทศพากันวิเคราะห์เจาะลึก ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทั้งสหราชอาณาจักรเองและสหภาพยุโรป ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม ล่าสุดหนังสือพิมพ์ “โปลิติโก" ฉบับออนไลน์ รายงานว่า ประธานคณะกรรมการกิจการรัฐธรรมนูญแห่งรัฐสภาพยุโรป ประกาศว่า ต่อไปนี้ภาษาอังกฤษอาจจะไม่ได้เป็นภาษาทางราชการของกลุ่มอีกต่อไป ในขณะที่ระดับชาวบ้านชาวเมืองก็เกิดภาวะตึงเครียด เมื่อคนอังกฤษเริ่มแสดงท่าทีต่อต้านชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความคิดแบบเชื้อชาตินิยมเริ่มสำแดงเดชของมันแล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ไป

สิ่งที่เกิดขึ้นคงมีมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย และคาดการณ์ได้เลยว่า แทบทุกเรื่องจะไม่ส่งผลดีต่อประเทศอังกฤษสักเท่าไหร่ในระยะนี้ จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ชาวผู้ดีอังกฤษเองก็มีความเห็นแตกแยกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายที่โหวตให้ออกกับฝ่ายที่โหวตให้อยู่ต่อ พูดภาษาบ้านๆ ก็ต้องว่า ตอนนี้คนอังกฤษส่วนหนึ่งมานั่ง “ด่าแม่ผี” กันแล้ว คือต่างฝ่ายต่างก็โทษกันและกัน เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและรวดเร็วต่อเศรษฐกิจของอังกฤษ หลายคนเริ่มตั้งข้อกังขากับกระบวนการลงคะแนน ถึงกับพากันล่ารายชื่อเพื่อให้มีการโหวตใหม่อีกครั้งหนึ่ง

เรื่องที่กรรมการบริหารของสหภาพยุโรปออกมาประกาศว่า นับแต่วันจันทร์นี้เป็นต้นไป ภาษาอังกฤษจะไม่ได้เป็นภาษาที่ใช้กันเป็นทางการในสหภาพยุโรปอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบที่วางไว้ เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่ม ภาษาของประเทศนั้นๆ ก็หมดบทบาทไปโดยปริยาย ประธานกรรมการกิจการรัฐธรรมนูญแห่งรัฐสภาพยุโรปแถลงชัดเจนด้วยประโยคที่ว่า “ถ้าเราไม่มีสหราชอาณาจักร เราก็ไม่ต้องมีภาษาอังกฤษ” (“If we don’t have the U.K., we don’t have English,”) อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สหภาพยุโรปจะประกาศด้วยความหมั่นไส้เต็มแก่ แต่การถอดภาษาอังกฤษออกไปก็ส่งผลกระทบต่อสหภาพเช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่า ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีบทบาทมากและอิทธิพลมากในสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม หากสมาชิกอียูยังอยากให้คงภาษาอังกฤษไว้เป็นภาษาทางการอีก ทางประเทศสมาชิกอียูก็ต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะแก้ไขกฎระเบียบดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่กลุ่มประเทศสมาชิกต่างพากันเหม็นขี้หน้าผู้ดีอังกฤษไปตามๆ กัน

นี่เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะดำเนินไปเช่นไร แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าหนักใจแทน สองวันก่อนผมลองเข้าไปส่องดูเฟซบุ๊กของเพื่อนชาวอังกฤษบางคน พบว่าในหมู่ชาวโซเชียลในสหราชอาณาจักรเองกำลังดุเดือดเลือดพล่านด้วยการแสดงความคิดเห็น และความรู้สึกที่กระทบกระทั่งกัน ระหว่างชาวอังกฤษกับชาวต่างชาติ ที่มาอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร บอกได้เลยว่า สิ่งที่น่ากลัวกำลังเกิดขึ้น นั่นคือความคิดแบบ “เชื้อชาตินิยม” ตอนนี้คนอังกฤษออกมาขับไล่พวกผิวสีกันแล้ว พวกเขาโพสต์ข้อความ ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ ความชิงชังใส่คนต่างชาติ ถึงขั้นขับไล่ไสหัวกันเลยทีเดียว คนที่เดือดร้อนมากคือชาวปากีสถาน และคนผิวสี บางคนเกิดในอังกฤษและมีสัญชาติอังกฤษ ก็โดนรังเกียจอย่างไม่มีข้อยกเว้น ชาวปากีสถานคนหนึ่งโพสต์ว่า ตอนนี้เขาเดือดร้อนมาก ร้านขายของแบบมินิมาร์ทของเขาขายไม่ได้เลย เพราะคนอังกฤษพากันต่อต้าน

เท่าที่ผมเคยไปอยู่ในลอนดอนมาพักหนึ่ง ร้านขายของแบบสะดวกซื้อในลอนดอนส่วนใหญ่จะมีแต่ร้านของคนปากีฯ พวกเขาขยันขันแข็ง ทำงานหนัก และเสียภาษีให้อังกฤษเหมือนพลเมืองคนอื่นๆ พอถูกกระแสชาตินิยมคุกคามก็พากันเดือดร้อนไปตามๆ กัน ส่วนคนผิวดำที่อาศัยอยู่จำนวนมาก ก็ได้รับความเดือดร้อนไม่แพ้กัน พวกเด็กนักเรียนที่เรียนร่วมกับคนผิวขาว สัมผัสได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่เปลี่ยนไป ความหวาดระแวงไม่พอใจที่คนอังกฤษมีต่อชาวต่างชาติซึ่งถูกเก็บกดไว้เนิ่นนาน สำแดงผลของมันแล้วในเวลานี้ สำหรับคนต่างชาติ บรรยากาศในขณะนี้จึงไม่ค่อยเป็นมิตรกับเขาเท่าไหร่

เหตุการณ์บนเกาะบริเตนในห้วงเวลานี้ มีความเข้มข้นและน่าติดตาม โดยเฉพาะความรู้สึกชาตินิยมของคนอังกฤษที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในโลกโซเชียล บังเอิญเสียด้วยว่าช่วงนี้ผมกำลังดูภาพยนตร์ซีรีส์แนวประวัติศาสตร์ดรามา เรื่อง “บาร์บาเรียน ไรส์ซิง-อนารยชนผงาด” อยู่พอดี อดสยองไม่ได้ว่า หากวันหนึ่งพวกผู้ดีอังกฤษสวมวิญญาณทหารโรมันออกมาจัดการกับคนต่างชาติ แล้วพวกเขาจะอยู่กันอย่างไร?