
"บิ๊กโด่ง" มอบนโยบาย บริหารวิกฤติระดับชาติ
"บิ๊กโด่ง" มอบนโยบาย บริหารวิกฤติระดับชาติ ย้ำ รัฐบาลไม่ยอมรับก่อการร้ายสากล ยัน คุมสถานการณ์ได้
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม เป็นประธานมอบนโยบายแก่หัวหน้าหน่วยงานและผู้เข้ารับการฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี 2559 ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.- 1 ก.ค.นี้ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายสมเกียรติ ศรีประเสริฐ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ตัวแทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองทัพเรือ ผู้แทนศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล(ศตก.) ผู้แทนศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) โดยผ่านการประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ไปถึงหน่วยงานในพื้นที่การสมมติสถานการณ์การฝึกต่อต้านการก่อการร้ายฯที่จ.ภูเก็ต
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและไม่ยอมรับการก่อการร้ายสากล จึงต้องเตรียมพร้อมแก้ไขสถานการวิกฤติตลอดเวลา ที่ผ่านมามีการวางกรอบการทำงานเตรียมแผนงานนับตั้งแต่ปี 2550 เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพพร้อมรับมือสถานการณ์ซึ่งเป็นภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการซักซ้อมแผนประจำปีมีจุดประสงค์ในการเพิ่มทักษะการทำงาน การพัฒนาและตรวจสอบระบบการแจ้งเตือนและเฝ้าระวังเหตุ รวมทั้งแสดงให้เห็นอุปสรรค ปัญหาและข้อขัดข้องต่างๆ ในระหว่างปฎิบัติงานเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข และที่สำคัญทำให้เกิดการประสานระหว่างหน่วยงานทหารและพลเรือนมากขึ้น จึงขอให้บริหารหน่วยงานทุกหน่วยตระหนักถึงการฝึกซ้อมของการปฏิบัติและบรรจุไว้ในแผลงานปฏิบัติราชการประจำปีของแต่ละหน่วย ให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นและพร้อมรับมือหากเกิดสถานการณ์จริง และสอดคล้องกับนโยบายที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานและทุกภาคส่วนร่วมบูรณาการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยภายหลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย พล.อ.อุดมเดช ให้สัมภาษณ์ว่า การฝึกการบริหารวิกฤติการณ์ระดับชาติ เป็นการฝึกตามปกติ มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกซ้อมและบูรณาการทดสอบแนวการปฏิบัติของส่วนราชการในการรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งฝึกเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว
"ขณะนี้มีสถานการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยต้องนำมาคิดว่าต้องรับมืออย่างไร แม้ว่าประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายของการก่อการร้าย และตนขอยืนยันว่าภาครัฐมีความมั่นใจว่าสามารถควบคุม และติดตามสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องเตรียมการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง".