ชีวิตดีสังคมดี

'สวทช.' เปิดนวัตกรรม UN R58 และ UN R73 ลดอุบัติเหตุ 'รถบรรทุก'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"สวทช." ร่วมมือ กรมการขนส่งทางบก เปิดตัวอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้าย "รถบรรทุก" ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุพร้อมหนุนผู้ประกอบการผลิตในประเทศ

"สวทช." วิจัยพัฒนาอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถบรรทุกที่มีความแข็งแรงเป็นไปตามมาตรฐาน สามารถผลิตขึ้นจากวัสดุที่หาได้ภายในประเทศและใช้กระบวนการผลิต ที่ผู้ผลิตในประเทศทั่วไปทำได้ มีต้นทุนไม่สูงสามารถแข่งขันได้ พร้อมแนะแนวทางการออกแบบและผลิตให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้นำเข้า และผู้ประกอบตัวถังรถบรรทุกในประเทศ

 

 

ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ผลิต รถบรรทุก ในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน เพื่อยกระดับความปลอดภัยของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และลดการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ”

 

 

 

 

ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

 

ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยระดับประเทศ ที่มีเป้าหมายในการนำความรู้ เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้างกระบวนการวิจัยและกลไกที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ

 

 

ปัญหาของภาคอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือประชาชนและชุมชนต้องเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง งานในวันนี้ เป็นหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ที่พร้อมทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ช่วย ตอบโจทย์ และให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทย

 

 

โดยหนึ่งในภารกิจหลัก ที่คณะวิจัยจาก "สวทช." ที่ได้มีความร่วมมือมาต่อเนื่องกับกรมการขนส่งทางบก คือ ด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ Road safety ที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยการออกแบบเชิงวิศวกรรมของโครงสร้างและชิ้นส่วนของรถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะให้มีความปลอดภัยเป็นไปตาม มาตรฐานระดับสากล

 

แต่ยังคำนึงถึงความพร้อมของผู้ผลิตและผู้ประกอบการในประเทศ ทั้งในด้านการผลิต หรือต้นทุน โดยคณะวิจัยจาก "สวทช." ได้ร่วมกับสำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างที่มีมาตรฐานระดับสากล

 

นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก

 

นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกได้ให้ความสำคัญ กับความปลอดภัยและมุ่งที่จะลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการ เดินทางของประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะโดยที่ผ่านมาพบว่ามีการเกิดอุบัติเหตุ ของรถยนต์ในลักษณะมีการชนและมุดเข้าไปด้านท้ายของ รถบรรทุก หรือการที่มีรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุแล้วลอดเข้าไปด้านข้างของรถบรรทุก มีจำนวนไม่น้อยกว่า 60 ครั้งต่อปี เสียชีวิต 1 คนต่อสัปดาห์

 

 

ด้วยเหตุนี้เอง กรมการขนส่งทางบกจึงได้ร่วมกับ "สวทช." ดำเนินการศึกษาแนวทางการจัดทำแบบมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อจัดทำร่างประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดคุณลักษณะ ขนาด ประสิทธิภาพ ตำแหน่ง และเงื่อนไขในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อกำหนดของสหประชาชาติ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนน

 

ดร.กฤษดา ประภากร รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.

 

ดร.กฤษดา ประภากร รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ภารกิจสำคัญของเอ็มเทค สวทช. คือการนำผลงานวิจัยและพัฒนาเชิงวิศวกรรม ในด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ Road safety มาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยมีบทบาทในการวิจัยพัฒนาภายใต้ความร่วมมือกับสำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก เพื่อศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานสากล ได้แก่

 

  • UN R58 เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ส่วนท้ายที่ทำหน้าที่บรรเทาความเสียหาย บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการมุดขณะเกิดการชนท้าย
  • UN R73 เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ส่วนข้างป้องกันคนและรถจักรยานยนต์ฺ มุดเข้าไปในระหว่างเพลาล้อ

 

UN R58

 

UN R73

 

จากอุปกรณ์ดังกล่าวจะมีราคาอยู่ที่หลักพันถึงหลักหมื่น โดยตอนนี้ทาง เอ็มเทค สวทช. ได้นำมาประยุกต์ใช้ในการร่างข้อกำหนดให้เหมาะสมสำหรับในประเทศ ด้วยการออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LUPD) และด้านท้าย (RUPD) ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

 

1) ความแข็งแรงรองรับแรงปะทะจากการชนตามมาตรฐานสากล

2) วัสดุที่ใช้ผลิตสามารถหาได้ภายในประเทศ

3) กระบวนการผลิตที่ผู้ผลิตขนาดใหญ่และเจ้าของรถสามารถผลิตเองได้

4) น้ำหนักของอุปกรณ์ที่เหมาะสม

5) มีต้นทุนของการผลิตอุปกรณ์ที่ต่ำกว่าการนำเข้า

 

 

​จัดทำแบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) ของรถบรรทุกเพื่อเป็นแนวทางให้แก่ผู้ผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานร่วมกับ สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุก ได้ให้ข้อมูลแก่คณะวิจัยในด้านขีดความสามารถในการผลิต ประเด็นอุปสรรคปัญหา จากประสบการณ์ผู้ใช้รถบรรทุกในประเทศ และร่วมพิจารณาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดระยะเวลาการศึกษา  

 

ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้จัดการโครงการและผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.

 

ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้จัดการโครงการและผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในด้านขีดความสามารถในการผลิต โดยได้จัดทำแนวทางและเอกสารสำหรับผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุกในประเทศไทย ได้แก่

  • แบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) เพื่อเป็นแบบสำหรับการผลิตที่ใช้วัสดุในประเทศ และต้นทุนที่ต่ำกว่าการนำเข้ารวมกว่า 90 แบบ บรรจุในเว็บไซต์ฐานข้อมูล
  • แบบเชิงวิศวกรรมสำหรับผู้ผลิตและประกอบ รวมถึงประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงแบบเชิงวิศวกรรมสำหรับรถบรรทุกลักษณะต่างๆ
  • จัดเตรียมเครื่องมือ ได้แก่ แท่นทดสอบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) 

 

ที่อ้างอิงมาตรฐาน UN R73 และ UN R58 ตามลำดับ เพื่อเป็นจุดตั้งต้น ให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ ที่มีลักษณะรถบรรทุกที่หลากหลาย คณะวิจัย ได้จัดทำแบบเชิงวิศวกรรมที่พร้อมนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้าย จากวัสดุที่หาได้ ในประเทศ ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้

 

อย่างไรก็ตามทาง "สวทช." ได้ใช้วิธีการที่เรียกว่า Morphological matrix หรือการผสมฟังก์ชันย่อยของแต่ละชิ้นส่วน โดยให้สามารถสับเปลี่ยนชิ้นส่วนหลักต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ยึดกับแชสซีที่เรียกว่า สเตย์ (Stay) สเปเซอร์ (Spacer) และชิ้นส่วนรับแรงปะทะ ที่เรียกว่า โพรเทคทีพบีม (Protective beam) เพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศทั้งรายใหญ่และรายย่อย สามารถเลือกใช้แบบเชิงวิศวกรรม ของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายนำไปผลิตและติดตั้งได้เหมาะสมกับลักษณะรถต่างๆ ที่มี ความหลากหลายในประเทศอีกด้วย  

 

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ