
"รพ.นครพิงค์" พร้อมให้บริการผู้ป่วยมะเร็งบัตรทองแบบครบวงจรโดยไม่ต้องใช้ "ใบส่งตัว"
"รพ.นครพิงค์" พร้อมให้บริการตามนโยบายยกระดับบัตรทอง "โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม" ผอ.โรงพยาบาล ระบุ ผู้ป่วยรับบริการแบบครบวงจรได้โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ครอบคลุม "ตรวจรักษา-ฉายแสง-เคมีบำบัด-ยาพุ่งเป้า-คลินิกกัญชา"
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2564 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานการดูแลผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) และการดูแลผู้ป่วยตามนโยบายยกระดับบัตรทอง "โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม" ณ โรงพยาบาลนครพิงค์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในเขตสุขภาพที่ 1 เชียงใหม่ ครอบคลุม 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน
นพ.วรเชษฐ เต๋ชะรัก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพิงค์ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลนครพิงค์ ได้เริ่มดำเนินงานตามนโยบาย "โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม" หรือ Cancer Anywhere มาตั้งแต่ 1 ม.ค. 2564 โดยผู้ป่วยมะเร็งสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับการรักษาได้โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ครอบคลุมทั้งการผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด ยาต้านฮอร์โมน การฉายรังสี รวมถึงการตรวจติดตามหลังการรักษา ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
นพ.วรเชษฐ กล่าวว่า พื้นที่เขตสุขภาพที่ 1 เชียงใหม่ มีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ราว 3,500 รายต่อปี ในอดีตมีโรงพยาบาลที่สามารถให้การรักษาด้วยการฉายรังสีเพียง 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และ โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง นั่นทำให้ผู้ป่วยต้องรอคิวการรักษาที่ยาวนาน ทางเขตสุขภาพที่ 1 จึงมีนโยบายพัฒนาให้โรงพยาบาลนครพิงค์เป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งมากขึ้น นำมาสู่การอนุมัติก่อสร้างศูนย์รังสีรักษามะเร็ง และเปิดให้บริการตั้งแต่เดือน พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา
สำหรับศูนย์รังสีรักษามะเร็งของโรงพยาบาลนครพิงค์ มีศักยภาพในการตรวจรักษามะเร็งได้ครบวงจร ตั้งแต่การคัดกรอง การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการและรังสีวินิจฉัย การรักษาโดยการผ่าตัด การให้เคมีบำบัด ยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) ยาภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) และการฉายรังสี โดยมีเครื่องฉายรังสีแบบปรับความเข้มแสง 4 มิติ เครื่องจำลองการฉายรังสีแบบ 4 มิติ และให้การรักษาด้วยการฝังแร่ระบบ 3 มิติ ปัจจุบันจึงช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรับการรักษาและลดเวลาการรอคอยได้
"ศักยภาพของเราแค่เฉพาะเรื่องของการฉายแสง เราให้บริการผู้ป่วยต่อปีเกือบ 700 ราย ทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งสามารถเข้ารับการรักษาได้เร็วมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่การจะรักษามะเร็งสำเร็จรวดเร็วขึ้น" นพ.วรเชษฐ กล่าว
นอกจากนี้ ศูนย์รักษามะเร็ง โรงพยาบาลนครพิงค์ ยังได้เปิดคลินิกมะเร็งประคับประคองและกัญชาทางการแพทย์ ทำหน้าที่ช่วยให้คำปรึกษาผู้ป่วย การดูแลตัวเองที่บ้าน และการใช้กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งถือเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
พญ.นภาวรรณ ศุกรภาส อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลนครพิงค์ กล่าวว่า สำหรับการรักษาผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง เบื้องต้นต้องมีการประเมินก่อนว่าผู้ป่วยรักษาด้วยวิธีมาตรฐานครบกำหนดหรือไม่ ในผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่ตอบโจทย์ด้วยการรักษาวิธีมาตรฐาน ซึ่งการใช้กัญชาทางการแพทย์นั้นก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการรักษาของผู้ป่วยเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยลดอาการปวด เพิ่มความรู้สึกอยากอาหาร
อย่างไรก็ตาม การใช้นำมันกัญชาในผู้ป่วยมะเร็งนั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้บางประการ อาทิ 1. ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากการทำเคมีบำบัด และไม่ตอบสนองกับยาแก้อาเจียนปกติ 2. ผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่ต้องการดูแลแบบประคับประคอง โดยนอกเหนือจากข้อบ่งชี้ดังกล่าวต้องมีการประเมินว่าผู้ป่วยมีโรคต้องห้ามในการใช้กัญชาหรือไม่ เช่น โรคหัวใจ โรคตับ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับจิตประสาท เป็นต้น
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม เป็นหนึ่งใน 4 บริการตามนโยบายยกระดับบัตรทองของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อนุทิน ชาญวีรกูล โดยผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง สามารถเข้ารับบริการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพแห่งใดก็ได้ในระบบบัตรทองที่มีความพร้อมในการให้บริการ ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยไปจนถึงการรักษา โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว
"นโยบายนี้เป็นการกระจายระบบบริการดูแลผู้ป่วยมะเร็งไปยังแต่ละหน่วยบริการ ซึ่งจะพิจารณาถึงศักยภาพและระยะเวลารอการรักษา ผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูลและระบบการส่งต่อระหว่างกัน โดยปัจจุบันโรงพยาบาลนครพิงค์ กลายเป็นอีกหนึ่งแห่งที่มีความพร้อมเพื่อรองรับประชาชนในเขตสุขภาพที่ 1 ให้ได้รับยาเคมีบำบัดที่โรงพยาบาลเครือข่ายใกล้บ้าน เพื่อความสะดวก ลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง" นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว