
ไทยหนึ่งเดียวในอาเซียน "ปลอดโรค ASF" ปี 63
ไทยหนึ่งเดียวในอาเซียน "ปลอดโรค ASF" ปี 63 ส่งออกสุกรเพิ่ม 400 เปอร์เซ็นต์ มูลค่า 23,000 ล้านบาท
โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ African swine fever : ASF เป็นโรคไวรัสที่ติดต่อร้ายแรงในสัตว์ตระกูลสุกรทุกชนิด แม้โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน แต่ถือว่าเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรอย่างมาก เนื่องจากหากมีการระบาดแล้วจะกำจัดโรคได้ยาก และยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค ขณะเดียวกันเชื้อไวรัสที่ก่อโรค คือ ASFV หรือ African swine fever virus มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมสูงและสามารถปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหาร เช่นไส้กรอก แฮม เนื้อสุกรและซาลามีได้
นอกจากนี้สุกรที่หายป่วยแล้วจะสามารถแพร่โรคได้ตลอดชีวิต และยิ่งกว่านั้นโรคนี้เป็นโรคที่มีความรุนแรงมาก โดยทำให้สุกรที่ติดเชื้อมีอัตราป่วยและตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF คือโรคระบาดในสุกรที่เป็นมหันตภัยร้ายแรง นำมาซึ่งความสูญเสียกับทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของทุกประเทศที่เกิดการระบาด
ไทย หนึ่งเดียวในอาเซียนที่ไม่พบการระบาด
ในวันนี้ สำหรับประเทศไทย กล่าวได้ว่า คือ ประเทศเดียวในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ยังไม่พบการระบาดของโรค ASF ในฟาร์มเลี้ยงสุกร ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เกิดความสูญเสียจากภาวะการระบาดของโรค แต่ยังเป็นผลดีต่อการสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของประเทศ
โดยในปี 2563 นี้ ประเทศไทยสามารถส่งออกสุกรมีชีวิตมากกว่า 2,200,000 ตัว เนื้อและผลิตภัณฑ์ มากกว่า 54,000 ตัน คิดมูลค่ารวมกว่า 23,000 ล้านบาท ไปยังประเทศกัมพูชาคิดเป็นปริมาณสูงกว่าปี 2562 ที่ผ่านมาอย่างก้าวกระโดดถึง 400 %
ความสำเร็จทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะความสามารถในการป้องกันการเกิดการระบาดจึงทำให้สุกรของประเทศไทยเป็นที่สนใจของตลาดต่างประเทศ ที่ต้องการนำเข้าสุกรจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ที่ปลอดภัย ปลอดโรค ปลอดสารเร่งเนื้อแดง เพื่อป้อนผู้บริโภคของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เกิดการระบาดของโรค ASF โดยล่าสุดผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรของประเทศไทยได้มีการลงนาม MOU การส่งออกสุกรไปยังประเทศเวียดนาม กัมพูชา และสปป.ลาว
ที่สำคัญอีกประการ นั่นคือ การได้รับความยอมรับจากนานาชาติในฐานะของครัวของโลกที่มีความโดดเด่นด้านความปลอดภัยด้านอาหาร หรือ Food Safety ที่นำมาซึ่งความเชื่อมั่นและยอมรับสินค้าปศุสัตว์ไทย อันนำไปสู่โอกาสในการส่งออกสินค้าไปยังทุกประเทศในทุกมุมโลก
ปัจจัยที่เป็นปราการด่านสำคัญที่ช่วยป้องกัน
สำหรับสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ อันส่งผลให้เกิดความสำเร็จในการป้องกันการระบาดของโรค ASF ยังคงสถานะ "ปลอดโรค ASF" มานานกว่า 2 ปี จนเป็นไข่แดงเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคนี้นั้น เกิดขึ้นจากการร่วมมือและสนับสนุนจากรัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคเอกชน เกษตรกร สมาคมต่างๆ สถาบันการศึกษาและองค์การระหว่างประเทศ
อันนำมาสู่การเตรียมความพร้อมในการวางแผนการป้องกัน จนสามารถก้าวมาสู่ชัยชนะในวันนี้ไม่ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้มีการเตรียมการทั้งเชิงรับและเชิงรุก เช่น การสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน การจัดทำแผนเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และการจัดการโรค ASF ภายใต้แผนดำเนินงาน 3 ระยะ คือ ระยะก่อนเผชิญเหตุการณ์ระบาด ระยะเผชิญเหตุการระบาด และระยะหลังเผชิญเหตุการณ์ระบาด โดยมีมาตรการตามแผนเตรียมความพร้อมรับ 8 ด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรคของฟาร์ม การเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังโรค การพัฒนาการตรวจวินิจฉัยและสร้างเครือข่ายทางห้องปฏิบัติการ การสนับสนุนให้มีการใช้ระบบ Clinical Practice Guidelines (CPG) ในฟาร์มของเกษตรกร เป็นต้น
ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการป้องกัน โดยคณรัฐมนตรีได้มีมติให้ยกระดับแผนเฝ้าระวังเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2562 พร้อมทั้งมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรแห่งชาติ ซึ่งมี นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน
แต่ที่ถือว่าเป็นพลังสำคัญที่ช่วยส่งผลให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดจนเป็นประเทศเดียวที่ปลอดโรค ASF ได้คือ ความร่วมมือของภาพเอกชน สมาคมต่าง ๆ และเกษตรกร รวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ถึง 26 หน่วยงาน เช่น สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ที่ได้สับสนุนด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง เช่น สนับสนุนการก่อสร้าง ศูนย์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคยานพาหนะบรรทุกสินค้าปศุสัตว์ทั้งภายในประเทศ และชายแดนถึง 7 แห่ง การปรับปรุงระบบขนถ่ายสุกรให้มีความปลอดภัย หรือที่เรียกว่า แท่นทอยหมู ที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ และอื่นๆ
ดังนั้นเพื่อเป็นการขอขอบคุณ และเป็นกำลังใจต่อผู้ปฏิบัติงาน ป้องกัน เฝ้าระวัง โรค AFS ในสุกร ที่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งต่อไป สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ โดย นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจึงได้มีการจัดงานขอบคุณและให้กำลังใจขึ้น เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ณ เดอะ สุโกศล กรุงเทพมหานคร โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
แม้วันนี้ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF ยังเป็นภัยร้ายแรงที่คุกคามอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรทั่วโลก แต่นั่นคือ สิ่งสำคัญที่ทุกหน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังร่วมมือร่วมใจทุ่มเทและทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องและรักษาอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของประเทศไทยให้ยั่งยืน และยืนหนึ่งในฐานะครัวของโลกตลอดไป...
https://www.youtube.com/watch?v=SxWOUYNeAv0&feature=youtu.be
**********
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“ความร่วมมือ คือสิ่งสำคัญ”
" สิ่งสำคัญทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อให้ก้าวข้ามวิฤกตครั้งนี้ไปให้ได้ วันนี้ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง นี่คือ Team Thailand ผมอยากเห็นภาพความร่วมมือแบบนี้เพื่อให้ก้าวผ่านโรค AFS ไปได้ในอนาคต สร้างโอกาสในวิกฤตเพราะเราคือประเทศเกษตรกรรม ที่สามารถสร้างรายได้สร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ เราต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์ และขอยืนยันว่า ผมและรัฐบาลพร้อมดูแลทุกคนทุกกลุ่ม เชื่อว่าอนาคตของการเลี้ยงสุกรยังสดใส
สำหรับในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนที่ต้องทำงานหนักกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อดูแลเรื่องโรค ASF ต่อไป ต้องห้ามหยุด ห้ามผ่อน ต้องทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยมาตรการที่ดีที่สุดคือการป้องกันอย่างเข้มงวด และในวันนี้เราเป็นประเทศที่มีความสามารถป้องกันได้ที่สุดในโลก สิ่งที่พวกเราทำกันมา 2 ปี เดินมาถูกทางแล้ว และขอให้ดำเนินการต่อไป”
********
น.สพ. สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์
“เพราะการทำงานอย่างทุ่มเทของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน จึงมีวันนี้”
“นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรค AFS ที่จีน เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2561 จนถึงวันนี้ เป็นเวลาถึง 2 ปีครึ่ง ที่ทุกคนในทุกฝ่ายได้ทุ่มเทการทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันการระบาดของโรค AFS ไม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน สถานบันการศึกษาต่างๆ รวมถึงองค์การระวังประเทศ และที่สำคัญคือการสนับสนุนของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรมีวันนี้ โดยนับตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่ง ดร.เฉลิมชัยได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการระบาดของโรค AFS มาอย่างต่อเนื่อง โดยกรมปศุสัตว์ต้องจัดทำรายงานสรุปสถานการณ์ส่งทุกวัน พร้อมทั้งยังสนับสนุนการทำงานของกรมปศุสัตว์ในทุกด้านไม่ว่าการผลักดันให้รัฐบาลยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ การขออนุมัติงบกลางเพื่อนำมาใช้ดำเนินการด้านต่าง ๆ รวมแล้วถึง 1,700 ล้าน ที่ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ไม่พบการระบาดของโรค AFS อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการส่งออกสุกรไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศกัมพูชา ที่เพิ่มขึ้นถึง 400 เปอร์เซ็นต์ สร้างรายได้เข้าประเทศถึง 23,000 ล้านบาท
ดังนั้น เมื่อประเทศไทยสามารถยืนหยัดในการป้องกันการระบาดมาได้ถึง 2 ปีครึ่ง เราจึงต้องยืดหยัดร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกๆ ฝ่าย โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรที่ยังต้องวางระบบความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเข้มข้นต่อไป ห้ามการ์ดตก ดังนั้นบนความร่วมมือที่เกิดขึ้นทั้งในวันนี้ และในอนาคต จะเป็นปัจจัยที่จะส่งผลทำให้ประเทศไทยที่วันนี้สามารถก้าวเป็นประเทศผู้เลี้ยงสุกร อันดับ 1 ของอาเซียน สามารถก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้เลี้ยงสุกรอันดับ 1 ของโลกได้อย่างแน่นอน”