ข่าว

ยุทธศาสตร์ดิจิทัลวอลเล็ทเพื่อฟื้นฟูการใช้จ่ายประชาชนและผลต่อจีดีพี

ยุทธศาสตร์ดิจิทัลวอลเล็ทเพื่อฟื้นฟูการใช้จ่ายประชาชนและผลต่อจีดีพี

06 ส.ค. 2568

ยุทธศาสตร์ดิจิทัลวอลเล็ทถูกหยิบขึ้นมาใช้เป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นฟูการใช้จ่ายของประชาชน โดยรัฐบาลไทยตั้งเป้าที่จะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ท” ซึ่งเริ่มต้นในปี 2024 และมีการวางแผนขยายไปสู่ปี 2025 ด้วยงบประมาณกว่า 450 พันล้านบาท แจกเงิน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหลายสิบล้านคน โครงการนี้มุ่งให้ผู้รับเงินใช้จ่ายในท้องถิ่นภายในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ที่เน้นการใช้จ่ายผ่านระบบ PromptPay และแอป Thang Rath ที่กระทรวงดิจิทัลฯ และหน่วยงานรัฐพัฒนาขึ้น รองรับประชาชนกว่า 36–45 ล้านคนที่ลงทะเบียน

ในยุคที่ระบบการเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว นักลงทุนจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มทางการเงิน หนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศคือ HFM ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ชั้นนำระดับโลก ด้วยชื่อเสียงในด้านความมั่นคง โปร่งใส และบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล HFM จึงกลายเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่มองหาโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยุคใหม่

 

นับตั้งแต่เปิดเฟสแรกเมื่อตุลาคม 2024 ประชาชนประมาณ 14.5 ล้านคนในกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้พิการ ได้รับเงิน 10,000 บาท ขณะที่เฟสที่สองเริ่มต้นในต้นปี 2025 ขยายไปสู่ผู้สูงอายุอีกประมาณ 3 ล้านคน ทั้งนี้ เฟสที่สามซึ่งกำหนดไว้ให้ครอบคลุมวัยรุ่นอายุ 16‑20 ปี ถูกเลื่อนออกไปก่อน แม้ยังไม่มีการประกาศยกเลิกแต่เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการจัดสรรงบประมาณได้เปลี่ยนกรอบเวลา

เมื่อประชาชนใช้จ่ายเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ทในท้องถิ่น เช่น ร้านสะดวกซื้อ ตลาดนัด และร้านค้าขนาดเล็ก ผลการศึกษาโดยธนาคารพาณิชย์หลายแห่งระบุว่าการใช้จ่ายผ่านมือถือช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้มากกว่าการใช้เงินสด เช่น ผู้ใช้อาจยอมจ่ายมากขึ้นโดยไม่รู้สึก “เจ็บ” เหมือนเงินสด อีกทั้งการจำกัดบริเวณการใช้จ่าย (ภายในเขต 4 กิโลเมตรรอบที่อยู่) ทำให้เงินไม่รั่วไหลสู่กลุ่มนอกพื้นที่ และช่วยเสริมเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น รวมถึงสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่อาจไม่ผ่านระบบภาษีหรือระบบธนาคารมาก่อน

 

สำหรับผลกระทบต่อจีดีพีนั้น รัฐบาลประเมินว่าโครงการจะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีระยะสั้นได้ราว 1.2‑1.8 จุดเซนต์ หรืออาจผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตถึง 3‑3.5% ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยและนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเตือนว่าผลลัพธ์อาจต่ำกว่าที่คาดหากการใช้จ่ายไม่ได้กระตุ้นต่อเนื่อง หรือหากมีการเลื่อนการเบิกจ่ายงบประมาณออกไป และเศรษฐกิจภายนอกไม่เอื้ออำนวย ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายของโครงการคิดเป็นประมาณ 2–3% ของจีดีพี ซึ่งอาจเพิ่มภาระหนี้สาธารณะ หากไม่มีมาตรการควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐ

 

ตลาดดิจิทัลวอลเล็ทของไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว จากรายงานล่าสุดคาดว่าจะมีมูลค่ารวมถึง 18.64 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นประมาณ 13–16% จนถึงปี 2029 สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเงินสดน้อยลงในหมู่ประชาชน โดยบริษัทเทคและธนาคารหันมาลงทุนในระบบจ่ายเงินล่วงหน้ารวมกับวอลเล็ท เช่น TrueMoney, Rabbit LINE Pay, Bangkok Bank เป็นต้น

 

 

ถึงแม้โครงการจะนำไปสู่การบริโภคภายในช่วงเวลาสั้น ๆ และส่งผลเชิงบวกต่อจีดีพี แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ถึงความยั่งยืนของแนวทางนี้ หากไม่มีการปฏิรูปเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะแรงงาน และการส่งเสริมอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่าหลังสิ้นสุดช่วงกระตุ้น อัตราการเติบโตอาจกลับสู่ระดับเดิมได้ ภาระหนี้อาจเป็นปัญหาใหญ่หากรัฐบาลไม่บริหารจัดการงบประมาณอย่างรัดกุม

 

 

แม้กระนั้น การขับเคลื่อนผ่านดิจิทัลวอลเล็ทได้สร้างบทเรียนสำคัญให้กับไทย ทั้งในด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัล และการจัดการนโยบายแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย การใช้ระบบแอป Thang Rath ที่ผูกกับข้อมูลบัตรประชาชนช่วยให้กระจายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการการเงิน โดยเฉพาะกับประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบธนาคารมาก่อน

 

 

ท้ายที่สุด การใช้ดิจิทัลวอลเล็ทเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายในประเทศ และเปิดโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่สังคมไร้เงินสดได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสร้างรูปแบบนโยบายเชิงดิจิทัลที่สามารถพัฒนาต่อไปในอนาคต