ข่าว

เหตุผลที่ไทยควบคุมเงินเฟ้อได้อย่างน่าทึ่งในยุคเศรษฐกิจผันผวน

เหตุผลที่ไทยควบคุมเงินเฟ้อได้อย่างน่าทึ่งในยุคเศรษฐกิจผันผวน

04 พ.ค. 2568

ประเทศไทยในปี 2568 ถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงและผันผวน ไทยกลับรักษาระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบต่ำ โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 0.8% ถึง 1.3% เท่านั้น

ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ตั้งไว้ 1-3% ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากนโยบายที่รอบคอบและปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ในวงการลงทุนออนไลน์ HFM ซึ่งเป็นโบรกเกอร์การซื้อขายที่ได้รับการยอมรับในด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยสูงสุด ได้กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมของนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน

 

หนึ่งในเหตุผลหลักที่ไทยสามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดีคือการแทรกแซงของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลไทยได้ใช้มาตรการอุดหนุนราคาพลังงาน เช่น ไฟฟ้า น้ำมันดีเซล และก๊าซหุงต้ม มาตั้งแต่ปี 2567 และยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568 มาตรการเหล่านี้ช่วยลดแรงกดดันจากต้นทุนการครองชีพของประชาชน ซึ่งแตกต่างจากสหภาพยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาที่ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นหลังวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน นอกจากนี้ การควบคุมราคาสินค้าจำเป็น เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ยังช่วยให้อัตราเงินเฟ้อไม่พุ่งทะยาน แม้ว่าราคาอาหารสด เช่น ข้าวและผลไม้ จะมีแนวโน้มสูงขึ้นจากความต้องการในตลาดโลก

อีกปัจจัยสำคัญคือโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงในตลาดโลก สิ่งนี้ช่วยลดผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการนำเข้าอาหาร ต่างจากสหภาพยุโรปที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรจากภายนอกและเผชิญราคาที่สูงขึ้น การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2568 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 36 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศและหนุนค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ซึ่งช่วยลดต้นทุนการนำเข้าสินค้าและพลังงาน ทำให้เงินเฟ้อไม่ถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกมากนัก

 

นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีบทบาทสำคัญ ธปท. รักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับประมาณ 2.25% ถึง 2.5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% ถึง 4.5% หรือสหภาพยุโรปที่ราว 3% ถึง 3.5% การคงดอกเบี้ยในระดับนี้สะท้อนถึงความมั่นใจว่าเงินเฟ้อของไทยยังไม่รุนแรงจนต้องใช้มาตรการเข้มงวด ซึ่งต่างจากตะวันตกที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เคยพุ่งถึง 9-10% ในช่วงก่อนหน้า นโยบายที่สมดุลนี้ยังช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 2.8% ถึง 3.2% ในปี 2568 โดยไม่ปล่อยให้เงินเฟ้อหลุดกรอบ

 

ความต้องการในประเทศที่ยังไม่ร้อนแรงเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล แม้การบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวจะฟื้นตัว แต่ไทยยังไม่เผชิญกับแรงกดดันจากค่าจ้างที่สูงขึ้นอย่างที่เห็นในสหรัฐฯ ซึ่งตลาดแรงงานตึงตัวจนผลักดันเงินเฟ้อให้สูงถึง 3-4% หรือในสหภาพยุโรปที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ยังมาพร้อมกับต้นทุนซัพพลายเชนที่สูง ไทยกลับมีอัตราการว่างงานที่ค่อนข้างคงที่ และการเติบโตของค่าจ้างอยู่ในระดับปานกลาง ทำให้เงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ไม่รุนแรง

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าวและน้ำมันปาล์ม รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบราคาพลังงานโลก ยังเป็นความเสี่ยงที่ไทยต้องจับตา แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ผ่านมา รัฐบาลและ ธปท. แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้ดี ตัวอย่างเช่น ในไตรมาสแรกของปี 2568 อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 0.84% จากราคาพลังงานที่อ่อนตัวลง ก่อนจะคาดการณ์ว่าจะกลับมาสูงกว่า 1% ในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

 

เมื่อมองภาพรวม ความสำเร็จของไทยในการต่อสู้กับเงินเฟ้อมาจากการผสมผสานระหว่างนโยบายรัฐที่เข้มแข็ง โครงสร้างเศรษฐกิจที่ได้เปรียบ และการบริหารการเงินที่รอบคอบ สิ่งเหล่านี้ทำให้ไทยแตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ที่เผชิญกับแรงกดดันที่ซับซ้อนกว่า ไม่เพียงแต่เป็นชัยชนะทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นว่า การวางแผนและการปรับตัวอย่างทันท่วงทีสามารถนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตได้อย่างมั่นคง และในอนาคต หากไทยยังคงรักษาสมดุลนี้ไว้ได้ ชื่อของประเทศไทยอาจกลายเป็นกรณีศึกษาที่นานาชาติหันมาสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ