ฉายาจากสื่อมวลชนว่า "บุรุษผู้รักชาติจนน้ำตาไหล" หรือ "วีรบุรุษเจ้าน้ำตา" คงมีความหมายลึกซึ้ง!!
*********************
มากกว่าความเป็น ผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 15 ซึ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อวันนี้ของ 71 ปีก่อน คือความเป็นทั้งนายทหารและนักการเมืองที่มีบทบาทต่อการเมืองไทยเป็นอันมาก
และน่าจะเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงไปด้วยกัน กับเรื่องราวของ จอมพล ผิน ชุณหะวัณ ผู้เป็นทั้งหัวหน้าคณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และผู้บัญชาการทหารบก
เส้นทางชายชาติทหาร
ข้อมูลจาก สถาบันพระปกเกล้า เรียบเรียงโดย บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ เล่าว่า จอมพลผิน ชุณหะวัณ เกิดที่บางนกแขวก อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบุตรของนายไข่ และ นางพลับ ชุณหะวัณ ชาวสวนและแพทย์แผนโบราณ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน
ท่านเริ่มเรียนหนังสือเมื่ออายุ 9 ปีกับ อาจารย์ไล้ วัดโพธิ์งาม จังหวัดสมุทรสงคราม และพระสุย วัดใหม่สี่หมื่น อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เมื่ออายุ 11 ปีได้อุปสมบทเป็นสามเณรอยู่ 3 พรรษา แล้วลาอุปสมบทเข้ามาเรียนหนังสือที่วัดมหรรณพารามและวัดบวรนิเวศ
ช่วงอายุ 16 ปี ตัดสินใจสมัครเข้าเป็นพลทหาร จนปีต่อมาราวปี 2452 ท่านก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนนายสิบ กรมทหารที่ 4 ราชบุรี หลักสูตร 2 ปี
ที่สำคัญท่านมีผลการเรียนได้คะแนนยอดเยี่ยมมาตลอด จึงได้สิทธิเข้าศึกษาต่อโรงเรียนนายร้อยทหารบกเมื่อ พ.ศ.2453 (รุ่นเดียวกับจอมพลแปลก พิบูลสงคราม) และได้พระราชทานยศเป็นนายร้อยตรี ประจำกรมทหารราบที่ 4 ราชบุรี
เมื่อสำเร็จการศึกษาในปี 2459 จอมพล ผิน ชุณหะวัณได้รับแต่งตั้งเป็นนักเรียนทำการนายร้อยเข้ารับราชการเบื้องต้นเป็นนักเรียนทำการประจำกองร้อยที่ 2 กรมทหารราบที่ 4 ราชบุรี ทำหน้าที่ฝึกทหารใหม่ได้คะแนนเป็นที่ 1 ของกรมทหารราบที่ 4 ถึง 5 ปีติดต่อกัน ต่อมาท่านได้รับคัดเลือกเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกเมื่อ พ.ศ.2464
จนปี 2467 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนชำนาญยุทธศาสตร์ ภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกองพลที่ 4
ต่อมาปี 2469 เมื่อพลตรีพระองค์เจ้าทศศิริวงศ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 4 เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพที่ 1 โปรดให้ร้อยเอกผิน มาเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการกองทัพที่ 1 แต่อยู่ได้เพียงหนึ่งปี ปัญหาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเมื่อต้องมาอยู่ในพระนครทำให้ร้อยเอกผินขอย้ายกลับไปทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการกองพลที่ 4 เหมือนเดิม
กระทั่งปี 2471 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายทหารฝ่ายเสนาธิการกองพลที่ 4 ซึ่งขณะนั้นพลตรีพระยาพิไชยสงครามเป็นผู้บัญชาการกองพล เมื่อกองทัพบกสั่งยุบกองพลที่ 4 ในปี 2471 โดยเปลี่ยนแปลงให้เป็นกรมทหารบกประจำจ. ราชบุรี และมีคำสั่งให้ผู้บัญชาการกองพลกับฝ่ายเสนาธิการทั้งหมดย้ายไปประจำกองพลที่ 2 ที่มีที่ตั้งอยู่ที่ปราจีนบุรี ในปีถัดมาพันตรีผินได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการกองพลที่ 2 และเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงชำนาญยุทธศาสตร์
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อันเป็นวันที่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง พันตรีผินได้รับคำสั่งจากพลตรีหม่อมเจ้าทองทีฆายุ ผู้บัญชาการกองพลที่ 2 ให้เข้าไปสังเกตการณ์ในพระนคร มีบทบาทอยู่บ้างในช่วงนั้น
รักชาติยิ่งชีพ
แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตพันตรีผินเกิดขึ้นในปี 2476 เมื่อเกิดกบฎบวรเดช พันโทหลวงพิบูลสงครามได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพปราบกบฎ ความต้องการนายทหารทำให้มีคำสั่งให้นายทหารที่อยู่ในโรงเรียนนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมปราบกบฎ พันตรีผินได้อาสาเข้าร่วมปราบกบฎ โดยเป็นผู้นำกำลังเข้ายึดที่ทำการอำเภอบางเขน
และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาธิการกองผสมปราบปรามกบฎ โดยเข้ายึดจังหวัดนครราชสีมาจนถึงอุบลราชธานีคืนจากฝ่ายกบฎ เมื่อการปราบปรามกบฎสำเร็จลง พันตรีผินได้เลื่อนยศเป็น "พันโท" ในตำแหน่งเสนาธิการมณฑล ทหารบกที่ 3 และรักษาการรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 3
พ.ศ.2478 พันโทผินได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 3 ซึ่งคลอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด เมื่อเกิดสงครามอินโดจีนในปี 2483 พันเอกผินเลื่อนเป็นรองแม่ทัพอีสาน
อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ วงเวียนหลักสี่ บางเขน กรุงเทพมหานคร เวลานี้ถูกย้ายไปแล้ว
เพื่อก่อสร้างสถานีวัดพระศรีมหาธาตุของทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และในปี 2485 พลตรีผินได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงทหารประจำสหรัฐไทยใหญ่ (สหรัฐไทยเดิม) และในปีถัดมาเลื่อนยศเป็นพลโท ผู้ช่วยแม่ทัพกองทัพพายัพ และข้าหลวงทหารประจำสหรัฐไทยเดิม
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง มีการเปลี่ยนรัฐบาลในปี 2487 หลวงพิบูลสงครามพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ นายควง อภัยวงศ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
ช่วงนั้นมีคำสั่งให้พลโทผินไปประจำกรมเสนาธิการทหารบกในวันที่ 1 ตุลาคม 2487 ผ่านมาจยถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2488 กองทัพบกมีคำสั่งให้พลโทผินออกจากราชการโดยได้รับเบี้ยหวัด ท่านจึงบ่ายหน้าไปทำนาทำสวนอยู่ที่เมืองแปดริ้ว
แต่ระหว่างนั้นการเมืองไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่มาก เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง นายกฯ ควง 1 นั่งอยู่ปีเดียวก็ลาออกในปี 2488
ปรากฏว่า ช่วงสองปีนั้นเมืองไทยเปลี่ยนนายกฯ 5 ครั้ง 4 คน คือ ถัดจากควงก็ ทวี บุณยเกตุ, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, และ ควง อภัยวงศ์ (ครั้งที่ 2) จากนั้นก็ ปรีดี พนมยงค์ แล้วมาก็มาถึง พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ที่เข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489
ที่สุดพรรคพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เปิดอภิปรายทั่วไปลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุด พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ระบุรัฐบาลไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยภายในตามนโยบายที่แถลงไว้ ดำเนินการทางเศรษฐกิจผิดพลาด และอื่นๆ อีกมากมาย แต่รัฐบาลก็ชนะในการลงมติ อย่างไรก็ดีแม้จะชนะ แต่นายกรัฐมนตรีก็ได้ลาออกเพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ท่านก็กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง
ว่าแล้ว พลโทผิน นายทหารนอกราชการ ที่มีบุตรเขย และบุตรชายที่ยังเป็นนายทหารประจำการ คือ พันโท เผ่า ศรียานนท์, พันตรี ประมาณ อดิเรกสาร และ ร้อยเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ จึงนำกำลังทหารบก เข้ายึดอำนาจล้มรัฐบาลของ พลเรือตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ช่วงนั้นเอง ที่ท่านได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า “บุรุษผู้รักชาติจนน้ำตาไหล” หรือ “วีรบุรุษเจ้าน้ำตา” เนื่องจากให้สัมภาษณ์ในเหตุการณ์รัฐประหารครั้งนั้นว่า ทำไปเพราะรักชาติ และทุกครั้งที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็มักน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันเสมอ ((https://www.dailynews.co.th/article/358898)
“ผมทนดูเขาโกงกันไม่ไหว ดูซิคุณ เขารวยกันเป็นล้าน ๆ ผมเป็นนายพลนุ่งกางเกงปะก้น เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเงินหมื่น”
คำถามสำคัญที่เจอบ่อยคือ "ทำไมไม่เป็นนายกฯ เสียเอง" มีข้อมูลระบุว่าท่านได้กล่าวไว้ว่า
"การทำรัฐประหารครั้งนั้น ข้าพเจ้ามีความประสงค์อันแน่วแน่ ที่จะให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เป็นธรรม และเพื่อจรรโลงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไป ด้วยเหตุผลทั้งสี่ประการที่กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้"
จอมพล ป.พิบูลสงคราม
การเมืองเรื่อง "พลัง"
ประวัติศาสตร์จารึกว่า หลังรัฐประหารครั้งนั้น จอมพลผินได้ตั้ง “กลุ่มซอยราชครู” ขึ้นในวงศาคณาญาติ แต่กลุ่มนี้กลับมีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจประเทศเป็นอันมาก
ขณะเดียวกัน พลโทผิน ยังได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในวัย 56 โดยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก จนกระทั่งปีถัดมาในปี 2491 ท่านก็ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ลำดับที่ 15 ของประเทศไทย
และที่ต้องเน้นคือ พลังอำนาจของสมาชิกกลุ่มราชครูในการเมืองไทยช่วงนั้นก็แน่นปึ๊ก ตอกย้ำบทบาททางการเมืองที่ได้มาโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง ความพยายามเปลี่ยนรูปจากกลุ่มผู้ยึดอำนาจมาเป็นพรรคการเมือง
โดยในช่วงปี 2494-2499 จอมพลผินได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 คือ "ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล" โดยช่วงนั้นหรือปี 2496 ท่านได้รับพระราชทานยศ "จอมพล"
ต่อมา ท่านเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม และยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเกษตรระหว่างปี 2496-2500 และระหว่างปี 2497-2498 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยกลาโหมอีกตำแหน่ง
ต่อมาปี 2497 จอมพลผินพ้นจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. และไปดำรงตำแหน่งรองจเรทหารทั่วไป และเดินหน้าเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง ในการเลือกตั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 หรือที่เรียกกันว่า “การเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด”
การเลือกตั้งหนนั้น จอมพลผิน ยังคงได้รับการแต่งตั้งเป็น ส.ส.ประเภทที่ 2 และยังได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีเกษตร
แต่แล้วสภาชุดนี้ก็พ้นสภาพเมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการยึดอำนาจการปกครองในวันที่ 16 กันยายน 2500 และจัดการเลือกตั้งใหม่ในปีเดียวกัน วันที่ 15 ธันวาคม 2500
น่าสนใจในพลังของกลุ่มราชครู เพราะการณ์นั้น จอมพลผิน ก็กลับมาอีก!! โดยยังคงเป็น ส.ส. ประเภทที่ 2 จนกระทั่งสมาชิกภาพของ ส.ส.ชุดนี้ สิ้นสุดลงอีก เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เจ้าเก่าเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม 2501
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
จนเมื่อมีการประกาศใช้ธรรมนูญ พ.ศ. 2502 ให้รัฐสภามีสภาเดียว คือ สภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้ง จอมพลผิน ก็ยังคงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และสิ้นสุดสภาพลงหลังจากนั้นถึง 9 ปี หลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511
และไม่น่าเชื่อ เวลานั้น จอมพลผินของเราก็ยังได้รับการแต่งตั้งเป็น สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2511 แต่สภาชุดดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร ทำรัฐประหารตนเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514
ที่สุด หลังจากนั้นเพียง 2 ปี จอมพลผิน ชุณหะวัณ ก็ถึงแก่อสัญกรรมในวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2516 ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยวัย 81 ปี 3 เดือน 13 วัน
อนึ่ง จอมพล ผิน มีบุตรชายคนหนึ่ง คือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่กลายเป็นทายาทของกลุ่มราชครูยุคหลัง และมีความยิ่งใหญ่ในการเมืองไทยถึงขั้นเป็น "นายกรัฐมนตรี" แต่อะไรๆ ก็ดำเนินอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อคืนวันผันผ่านทุกอย่างก็แปรสภาพไปตามกาลเวลา
****************************
ข่าวที่เกี่ยวข้อง