"ยุวกษัตริย์" รัชกาลที่ 5 แรกเสด็จประพาสต่างประเทศครั้งแรก
สด็จประพาสครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2413 ครั้งนั้น พระองค์ยังทรงเป็นยุวกษัตริย์ มีพระชนมายุเพียง 17 พรรษา เท่านั้น!!
**************************
วันนี้เมื่อ 148 ปีก่อน นับเป็นวันที่สำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของประเทศสยาม! เพราะมีความหมายถึงการอยู่รอดของประเทศก็ว่าได้
เพราะไม่เพียงเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสสิงคโปร์ เป็นการเสด็จต่างประเทศครั้งแรก!!
แต่ยังเป็นการเสด็จเพื่อปฏิบัติภารกิจในการทรงศึกษา สอดส่องประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เพื่อดูถึงควมเจริญ ความคงอยู่ของบ้านเมือง และจักได้ทรงนำมาประยุกต์พัฒนา ปรับปรุง บ้านเมืองไทยด้วย
การเสด็จประพาสต่างประเทศครั้งแรก ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เกิดขึ้นในวันที่ 9 มี.ค. พ.ศ.2413 ถึงวันที่ 15 เม.ย. พ.ศ.2413 โดยเสด็จทางเรือพระที่นั่ง “พิทธยัมรณยุทธ”
และประเทศที่เสด็จฯเยือน หาใช่ยุโรปตามความเข้าใจของคนไทยอีกหลายคนไม่ แต่เป็นเพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ บาตาเวีย หรือปัจจุบันคือกรุงจาการ์ตา และสมารัง เมืองหลวงและเมืองท่าที่สำคัญตั้งอยู่ทางด้านเหนือเกาะชวากลาง นั่นเอง
ทั้งนี้ หากศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า ในช่วงที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสวยราชสมบัติ ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิจประชานาถ ขณะพระชนมายุได้ 15 พรรษา
แต่เนื่องจากพระองค์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ อำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารราชการแผ่นดินขณะนั้นอยู่กับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และกลุ่มขุนนางตระกูลบุนนาค
แต่ในช่วงเวลานั้นเอง บ้านเมืองยังมีภัยคุกคามจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ใช้เวลาที่ยังไม่ทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดนี้ ในการทรงเตรียมพระองค์ อย่างเปี่ยมไปด้วยสายพระเนตรยาวไกล และพระปรีชาสามารถ
โดยทรงตระหนักถึงปัญหาภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตกและได้ทรงเตรียมการอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งทรงยึดแนวทางสืบเนื่องจากสมเด็จพระราชบิดา นั่นคือ ทรงปรับปรุงขนบธรรมเนียมประเพณี ยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของชาวสยาม มิให้ต่างชาติมาดูหมิ่น ดูแคลน
กับทั้งยัง สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ และ ทรงเดินทางไปยังประเทศซึ่งเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก เพื่อให้ข้าราชบริพารมีโอกาสศึกษาสภาพบ้านเมือง และรูปแบบการปกครองของเมืองเหล่านั้น ซึ่งจัดระเบียบแบบแผนเช่นเดียวกับเมืองเจ้าอาณานิคม
อย่างในปี พ.ศ. 2413 (บางแหล่งระบุว่าเป็นปี 2414) ทรงเสด็จไป สิงคโปร์ ปัตตาเวียและเกาะชวา โดยเรือพระที่นั่งพิทยัมรณยุทธ เพื่อทอดพระเนตรกิจการบ้านเมือง ตลอดจนขนมธรรมเนียม และประเพณีของต่างชาติ และต่อมายังเสด็จไป พม่าและอินเดีย อีกด้วย
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นครั้งแรกที่พระองค์เสด็จออกนอกประเทศ
หลังจากได้ทรงสถาปนาเป็นกษัตรย์พระองค์ที่ 5 ในราชวงศ์จักรี ถ่ายในปี 2413 ที่ประเทศสิงคโปร์
เพื่อเพิ่มอรรถรส ยังมีเรื่องราวบอกเล่าระหว่างทางเสด็จ ซึ่งขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เช่นว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสชวาครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2413 ครั้งนั้นพระองค์ยังทรงเป็นยุวกษัตริย์ มีพระชนมายุเพียง 17 พรรษา เท่านั้น
และหลังการเสด็จครั้งนี้ บ้านเมืองเรามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย หลังจากนั้นปี 2415 ยังทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่, โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน, โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง
ทั้งหมด ด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบอินโดจีนด้วย และเพื่อเรียนรู้การปกครองเนื่องด้วยประเทศทั้งสองนี้ต่างก็เป็นเมืองขึ้น ของประเทศอังกฤษ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2415 ทรงได้เสด็จเยือนประเทศเพื่อนบ้านอีก 2 ประเทศ คือประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และเมื่อที่เสด็จไปประเทศอินเดียนั้น ทรงได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยา อินเดีย เพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทย ทั้งนี้เป็นการทำนุบำรุงพระศาสนาให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2440 โดยประเทศที่ได้เสด็จประพาส คือ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี ออกสเตรเลีย ฮังการี สเปน เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์และเยอรมัน
ทั้งนี้มีเหตุผลอยู่หลายประการในการเสด็จประพาสครั้งนี้ คือ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจ และร่วมปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ซึ่งในขณะนั้นมีปัญหาการสู้รบกันอยู่ การเสด็จประพาสของพระองค์ในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติของพระมากษัตริย์ไทย
ในปี พ.ศ 2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย ทั้งนี้มีความประสงค์ที่จะพัฒนาประเทศไทยให้ได้รับความเจริญก้าวหน้าให้ทัด เทียมกับนานาประเทศ
///////////
ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
และ สกุลไทยออนไลน์
http://www.sakulthaionline.com/magazine/reader/3663/124