วันนี้ในอดีต

4 ก.พ.2501 เผยโฉม"ซีอุย แซ่อึ้ง"มนุษย์กินคน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“อย่าดื้อ อย่าซน ระวัง”ซีอุย“จะมากินตับ”คำขู่พ่อแม่กรอกหูลูกยุคเจนเอ๊กซ์ เขาเป็นมนุษย์กินคน ฆาตกรต่อเนื่อง เป็นคดีประวัติศาสตร์โด่งดังสร้างสความสยดสยองให้คนไทย

 

      "ซีอุย"สร้างความสยดสยองให้สังคมไทยเมื่อ 50 ปีก่อน ด้วยการฆ่าโหดถึง 7 ศพ ในระยะเวลาต่อเนื่อง 5 ปี คือระหว่างปี 2497 ถึงปี 2501 ซึ่งถูกจับขณะกำลังพยายามเผาทำลายศพรายสุดท้ายที่จังหวัดระยอง ทำให้มีการสืบสวนขยายผลย้อนหลังไปถึงพฤติกรรมโหด ในลักษณะเดียวกันอีก 6 ราย ผลสุดท้ายคดีจบลงที่ศาลอุทธรณ์ ด้วยโทษประหารชีวิต

         ซีอุย มีชื่อจริงว่าหลีอุย แซ่อึ้ง  แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็นซีอุย เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2470 ที่เมืองซัวเถาโดยเป็นลูกคนที่ 3 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 12 คน ของนายฮุนฮ้อกับนางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง ในครอบครัวยากจนที่ทำการเกษตร เมื่อยังเป็นเด็กและเป็นวัยรุ่นซีอุยมีส่วนสูง 150 เซนติเมตรเท่านั้น จึงมักถูกรังแกอยู่เสมอ จนกระทั่งมีนักบวชรูปหนึ่งได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าอยากจะมีร่างกายแข็งแรงต้องกินเนื้อหรืออวัยวะมนุษย์คำสอนนี้ได้ฝังอยู่ในใจซีอุยมาเสมอ

        ซีอุยวัย 18 ปีถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ 8 ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นทำสงครามกันอยู่ ซีอุยถูกส่งไปรบในสมรภูมิพม่าแนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บชายแดนของจีน เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มที่ซีอุยต้องเผชิญกับความลำบากและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอดอาหารก็ขาดแคลน ขณะที่เพื่อนทหารก็ทยอยตายไปเรื่อย ๆ

        ว่ากันว่า จากการสู้รบ ซีอุยจึงได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรก เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ซีอุยถูกปลดจากการเป็นทหาร ด้วยความแร้งแค้นยากจน ซีอุยถูกเพื่อน ๆ ชักชวนให้เข้ามาหางานทำในประเทศไทย โดยหลบหนีเข้าเมืองมาด้วยการเป็นกรรมกรรับจ้างในเรือขนส่งสินค้าชื่อ “โคคิด” เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2489 ด้วยการหลบซ่อนมาเป็นเวลา3สัปดาห์เต็ม ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร 

          ซีอุย ต้องหลบซ่อนตัวในโรงแรมห้องแถวเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาได้เดินทางไปยังอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อไปหาญาติ ที่นั่น ซีอุยทำงานด้วยการรับจ้างทำสวนผักและรับจ้างทั่วไปเป็นเวลานานถึง 8 ปีเต็ม ก่อนที่ซีอุยจะก่ออาชญากรรม

        ตามคำบอกเล่า ซีอุยได้จับเด็กมาผ่าเอาตับมากินโดยเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยได้ฆ่าเด็ก 3 รายแรก ที่อำเภอทับสะแกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก่อนที่จะหลบหนีไปโดยรถไฟและก่อเหตุอีกที่งานฉลองตรุษจีนที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐมเมื่อปี พ.ศ. 2500 สุดท้ายถูกจับได้หลังจากคดีฆาตกรรมในจังหวัดระยองซึ่งถูกพบ เมื่อปี พ.ศ. 2501 ซึ่งมีเพียงเหยื่อรายแรกและเป็นรายเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ

       วันนี้ในอดีต 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 เผยโฉมหน้ามนุษย์กินคน นายซีอุย แซ่อึ้ง ในหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย หลังถูกจับได้ที่จังหวัดระยอง  ซีอุยยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือ 7 คดี และจิตแพทย์ลงความเห็นว่า ซีอุยไม่ได้เป็นบ้า เขาถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2502  ที่เรือนจำบางขวาง กรุงเทพมหานคร 

         ย้อนรอย คำสารภาพของซีอุยปรากฏอยู่ในบันทึกเท่าที่ปรากฏในปัจจุบันมีอยู่ 3 ฉบับ คือ คำให้การวันที่ 30 มกราคม, 31 มกราคม และ 5 กุมภาพันธ์ 2501 สำเนาทั้งหมดนี้มีอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย และปรากฏเป็นคำสัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์รายวันในสมัยนั้นตีพิมพ์กันต่อเนื่องหลายฉบับ

        ตามตำนานซีอุยได้เล่าถึงเหตุการณ์ในคดีสุดท้ายก่อนถูกจับ ไว้ในบันทึกคำให้การวันที่ 30 มกราคม 2501 ว่า วันที่ 27 มกราคม 2501 เวลาประมาณบ่าย 3-4 โมงเย็น ขณะที่ซีอุยกำลังรดน้ำผักอยู่ในสวนของนายอิ๊ดเจี๊ยก ตำบลเนินพระ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เด็กชายสมบุญ บุณยกาญจน์ เดินมาขอซื้อผักกับซีอุย 1 บาท ซีอุยจึงออกอุบายให้ไปจับนกในสวนยางพารา ซึ่งเด็กชายสมบุญก็ยินยอมไปแต่โดยดี

       ซีอุยพาเด็กเดินผ่านบ้าน แล้วแวะหยิบมีดด้ามเขาควายสำหรับตัดผัก ซึ่งเสียบไว้กับข้างฝาติดไปด้วย ทั้งคู่เดินเข้าไปในสวนยางพารา ห่างจากบ้านไปทางทิศตะวันออกประมาณ 40 ก้าว เด็กชายสมบุญเริ่มมีอาการขัดขืนไม่ยอมไป ซีอุยจึงใช้มือทั้งสองโอบเด็ก อุ้มไปอีกราว 40 ก้าว จึงปล่อยให้ยืน

       ขณะนั้นเด็กชายสมบุญไม่ร้องหรือดิ้นรนขัดขืน ซีอุยจึงใช้มือกดหัว ให้ล้มนอนหงาย แล้วจึงใช้มือซ้ายปิดปากและจมูก แล้วใช้มีดแทงคอใต้ลูกกระเดือกจนหลอดลมขาดสิ้นใจตาย ซีอุยจึงเริ่มใช้มีดผ่าท้องตั้งแต่สะดือจนถึงหลอดลม แล้วตัดเอาหัวใจกับตับออกมากองไว้บนใบไม้ จากนั้นก็เคลื่อนย้ายศพเด็กมาซ่อนไว้ก่อน ส่วนหัวใจกับตับนั้น นำกลับมาล้างที่บ้าน ใส่กะละมังไว้ในตู้กับข้าว เพื่อจะเก็บไว้กิน

       รอจนกระทั่งมืด ซีอุยจึงอุ้มศพเด็กมาวาง หาเศษไม้มาสุม เพื่อจะเผาทำลายหลักฐาน ระหว่างนี้เองที่นายนาวา บุณยกาญจน์ พ่อของเด็กชายสมบุญ ซึ่งออกมาตามหาลูกชายที่หายไปตั้งแต่ตอนบ่าย จนมาถึงที่เกิดเหตุ นายนาวาฉายไฟพบซีอุยกำลังเอากิ่งไม้แห้งทิ้งลงบนกองไม้ จึงแลเห็นศพของเด็กชายสมบุญอยู่ใต้กองไม้นั้นนั่นเอง นายนาวา กับนายเสงี่ยม ม่วงแสง จึงช่วยกันจับซีอุยมัด แล้วให้คนมาแจ้งความ

        คำให้การระบุว่าระหว่างการจับกุม ไม่มีการต่อสู้ขัดขืน ซึ่งตรงกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น“ข้าฯ ไม่ได้ต่อสู้ และไม่มีอาวุธอะไร และมีดที่ข้าฯ ทำร้ายเด็ก ข้าฯ เอาไว้บนฝาตุ่มในบ้าน”(คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ : พยานโจทย์ติดตามมาแบบทันท่วงที จำเลยก็ยังชักมีดออก ทำกิริยาจะต่อสู้ จึงถูกตี และจับมัดไว้ได้)

       เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุ ก็พบศพมีสภาพถูกแทงที่คอ และรอยผ่าตั้งแต่สะดือแหวะอกขึ้นมาถึงคอ จากนั้นจึงพากันไปค้นบ้านของซีอุย พบหัวใจกับตับสดๆ ใส่กะละมังเก็บไว้ในตู้กับข้าว

       การดำเนินการจับกุมเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีการขัดขืน ซีอุยให้การว่าวางมีดไว้บนฝาตุ่มบ้าน เมื่อซีอุยถูกจับในลักษณะคาหนังคาเขา พร้อมพยานวัตถุ การดำเนินการสืบสวนคดี “มนุษย์กินคน” จึงเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น

        ที่น่าสังเกตก็คือการสอบปากคำและข่าวในหนังสือพิมพ์ มุ่งประเด็นที่จะ “สรุป” ให้ซีอุยเป็นผู้ต้องหาในทุกคดีก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการทางศาล ทั้งที่คำให้การและคำสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ที่ปรากฏนั้นมี “จุดสำคัญ” ที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างเห็นได้ชัด

        เหนืออื่นใด ก็มีความเชื่อของคนร่วมสมัยในพื้นที่เกิดเหตุ รวมถึงคนทั่วไปบางส่วนที่เชื่อว่า ซีอุยมิได้เป็นฆาตกรตัวจริง แต่ฆาตกรตัวจริงเป็นลูกชายของบุคคลที่มีอิทธิพลสูงในท้องที่ ที่ซีอุยรับสารภาพไปอาจเป็นไปได้ว่าถูกเจ้าหน้าที่เกลี้ยกล่อมว่าให้รับสารภาพไปแล้วจะได้รับการลดหย่อนโทษ เนื่องจากซีอุยไม่มีญาติมิตรที่ให้การช่วยเหลือได้ รวมถึงการไม่เจนจัดในการสื่อสารภาษาไทย

        ซีอุยถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า วันที่ 16 กันยายน 2502 ต่อมาวันที่ 27 กันยายน ปีเดียวกัน ทางมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ศิริราช) ได้ทำเรื่องขอซีอุยมาทำการศึกษา เพื่อหาเหตุแห่งความวิปริตผิดมนุษย์ โดยเก็บไว้ที่ตึกกายวิภาคร่างของซีอุยเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ สอนศีลธรรมให้กับสังคม แต่กาลเวลาไม่เคยเอ่ยถึงความยุติธรรมแม้ซักครั้ง 

          ปัจจุบันร่างของซีอุยยังคงอยู่ภายในโรงพยาบาลศิริราช ที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ อาคารอดุลเดชวิกรม หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “พิพิธภัณฑ์ซีอุย”

        ทว่า ตราบาป"ซีอุย แซ่อึ้ง"ตามคำพิพากษาของสังคมคือ มนุษย์กินคนฆ่าโหด 7 ศพภายใต้เงื่อนงำบางอย่างในกระบวนการสอบสวน ที่ทำให้ชวนสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ซีอุย คือฆาตกรต่อเนื่อง หรือเหยื่อของสังคมกันแน่!!

—---------//----------

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ