ข่าว

3 ปัญหาส่ง 'แมนฯยูไนเต็ด' สู่ยุคมืด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

  เป็นที่ทราบกันดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถือเป็นหนึ่งในทีมที่น่ากลัวที่สุดในโลก

    ทั้งเรื่องของการเปิดเกมรุกที่ดุดัน, การเล่นเกมรับที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีทัศนคติที่ยอดเยี่ยมในการไม่ยอมแพ้แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของเกม ท่ามกลางเหล่าผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม ทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด, ไรอัน กิกส์, เวยน์ รูนีย์, ริโอ เฟอร์ดินานด์ และพอล สโคลส์ ซึ่งส่งผลให้พวกเขากวาดโทรฟีมาครองได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1999 ที่คว้าทริปเปิลแชมป์มาครอง

    อย่างไรก็ตามเมื่อนำ “ปีศาจแดง” ในยุคของ “เซอร์เฟอร์กี” มาเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน ต้องเรียกได้ว่าต่างกันแบบฟ้า กับเหว เพราะตอนนี้ “เรด เดวิลส์” ภายใต้การคุมทัพของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงผลงานของทีมที่ตกต่ำ หลังจบในอันดับ 6 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกเมื่อซีซั่นที่แล้ว รวมถึง 15 เกมหลังสุดที่พวกเขาเก็บชัยชะได้เพียง 3 นัด เสมอ 3 นัด และแพ้ถึง 9 นัด

    ทำให้ขณะนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่ไม่มีสโมสรใดจะเกรงกลัวในการต้องปะทะกับพวกเขา และเกิดระยะห่างกับทีมคู่แข่งร่วมอื่นๆ ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี และลิเวอร์พูล แบบชัดเจน จนกลายเป็นช่วงเวลาเลวร้ายของทีมที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในซีซั่นนี้ที่ถึงแม้ว่าศึกพรีเมียร์ลีกจะผ่านไปเพียง 3 เกมแต่พวกเขาก็ตามหลัง “หงส์แดง” และ “เรือใบสีฟ้า” ไปแล้ว 5 กับ 4 คะแนนตามลำดับ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีในการลุ้นแชมป์ลีก

     เป็นเหตุให้ล่าสุด “สปอร์คีดา” สื่อกีฬาของอินเดีย ได้วิเคราะห์ถึง 3 ปัญหา ที่ส่งให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าสู่ยุคมืด ที่ส่งผลต่อทีมแบบเห็นได้ชัดด้วยการไม่ประสบความสำเร็จในรายการใดๆเลยเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

3 ปัญหาส่ง 'แมนฯยูไนเต็ด' สู่ยุคมืด
 

ผู้จัดการทีมเปลี่ยนมือบ่อย
    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ล้มเหลวกับการหากุนซือเข้ามาแทนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพราะหลังจากยุคของ “ป๋าเฟอร์กี” นับตั้งแต่ เดวิด มอยส์ และหลุยส์ ฟาน กัล ที่ถึงแม้จะคว้าถ้วยแชมป์มาครองได้ นั่นก็คือ เอฟเอ คัพ 2015-16 แต่ผลงานโดยรวมต้องเรียกได้ว่าไม่น่าประทับใจ และปรับให้ทีมกลายเป็นฟุตบอลที่เล่นสไตล์แบบเน้นแท็คติกมาจนเกินไป ก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งคู่
    จนมาถึงยุคของ ชูเซ มูรินโญ “ปีศาจแดง” ก็เปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง จากทีมที่เน้นเกมบุก กลายเป็นเล่นบอลสวนกลับ แม้จะเจอกับทีมเล็กๆ ทั้งๆที่มีผู้เล่นในตำแหน่งเกมรุกชื่อดังมากมาย ทั้ง ปอล ปอกบา, อองโตนี มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรซฟอร์ด และโรเมลู ลูกากู
    แม้จะประสบความสำเร็จด้วยตำแหน่งดับเบิลแชมป์ในฟุตบอลยูโรปา ลีก และอีเอฟแอล คัพ เมื่อปี 2016–17 ทว่ารูปเกมที่เกิดขึ้นไม่เป้นไปตามที่แฟนบอลหวังไว้ และเห็นได้ชัดว่าผู้เล่นหลายคนเกิดความสับสนในตำแหน่งเนื่องจากโดนสลับหน้าที่บ่อย และปัญหาดังกล่าวก็มาแสดงผลแบบเด่นชัดในซีซั่นที่แล้ว หลังพวกเขาต้องหมดลุ้นแชมป์ลีกตั้งแต่เดือน ธ.ค. พร้อมทำให้ “เดอะ สเปเชียล วัน” ต้องกระเด็นจากตำแหน่ง
    โอเล กุนนาร์ โซลชา คือเทรนเนอร์รายล่าสุดที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์ของทีม โดยเจ้าตัวระบุตั้งแต่วันแรกที่มารับตำแหน่งกุนซือชั่วคราวว่าตนเองจะพาทีมกลับไปเล่นในสไตล์เดียวกับยุคของ เฟอร์กี นั่นก็คือเน้นเกมรุกแบบเต็มสูบอีกครั้ง
    โดยช่วงแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของ โซลชา ทำผลงานได้น่าประทับใจทั้งในลีก รวมถึงศึกยูซีแอล อย่างไรก็ตามหลังจากที่เฮดโค้ชชาวนอร์เวย์ได้รับสัญญาถาวร ฟอร์มของทีมก็ตกลงแบบน่าใจหาย ซึ่งหากทีมดังแห่งถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ยังไม่สามารถพาทีมกลับไปสู่ฟอร์มที่ดีได้ เจ้าตัวอาจจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และจะกลายเป็นการวนลูปเดิมที่พวกเขาต้องหาเทรนเนอร์คนใหม่ ส่วนนักเตะก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้แผนการของผู้จัดการทีมรายนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่ผลดีแต่อย่างใด ต่างจากคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ใช้งาน เปป กวาร์ดิโอลา มาแล้ว 4 ปี และประสบความสำเร็จอย่างมากมาย เพราะผู้เล่นมีความคุ้นเคย และเข้าใจกับแท็คติกเป็นอย่างดีแล้ว

3 ปัญหาส่ง 'แมนฯยูไนเต็ด' สู่ยุคมืด

ขาดนักเตะสร้างสรรค์เกมรุก
    โดยในช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมา “ปีศาจแดง” ทุ่มเงินเสริมทัพไปที่นักเตะเกมรับไปมหาศาลจากการดึงตัว อารอน วาน-บิสซากา จาก คริสตัล พาเลซ ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ (ราว 1.83 พันล้านบาท) และ แฮร์รี แมคไกวร์ จากเลสเตอร์ ซิตี ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ (ราว 2.93 พันล้านบาท) เหตุ โซลชา มองว่า กองหลังคือจุดอ่อนของทีมที่ส่งผลกระทบอย่างมากมาตั้งแต่ในฤดูกาลที่แล้ว
    ในขณะที่เกมรุกแม้ “เรด เดวิลส์” จะมีข่าวกับผู้เล่นหลายราย ทั้ง บรูโน แฟร์นันด์ส และเปาโล ดีบาลา เหตุเสีย โรเมลู ลูกากู หัวหอกตัวหลักไปให้กับ อินเตอร์ มิลาน ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีการเซ็นสัญญาเข้ามาร่วมทัพหลังเทรนเนอร์ชาวนอร์เวย์มองว่าขุมกำลังที่มีนั้นเพียงพออยู่แล้ว
    ถึงกระนั้นสถานการณ์กลับไม่ได้เป็นไปตามที่คิด เพราะถึงแม้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีผู้เล่นในเกมรุกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อองโตนี มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรซฟอร์ด, เจสซี ลินการ์ด, ฆวน มาตา, อเล็กซิส ซานเชซ และเมสัน กรีนวูด ถึงกระนั้นมีเพียง มาร์กซิยาล กับแรซฟอร์ด เท่านั้นที่สอบผ่านหลังทำไปคนละ 2 ประตู
    ขณะที่แข้งรายอื่นนั้นมีฟอร์มการเล่นที่น่าผิดหวัง โดยเฉพาะ เจสซี ลินการ์ด แนวรุกทีมชาติอังกฤษที่ โซลชา คาดหวังว่าเจ้าตัวจะขึ้นมาเป็นเพลย์เมกเกอร์ตัวหลักของทีม ทว่าดาวเตะวัย 26 ปี กลับมีสถิติสุดแย่หลังทำประตู รวมถึงแอสซิสต์ไม่ได้เลยในปี 2019 หรือกว่า 8 เดือนเลยทีเดียว จนทำให้เกมรุกของทีมขาดควาสร้างสรรค์แบบชัดเจน
    เป็นเหตุให้แฟนๆของทีมเรียกร้องให้ทีมดังแห่งถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ต้องคว้าตัวผู้เล่นที่สามารถเติมเกมรุกของทีมให้มีชีวิตชีวาได้ เช่นเดียวกับบอร์ดบริหารที่เห็นด้วยในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง “เดอะ มิร์เรอร์” สื่อดังของอังกฤษ ระบุว่า โซลชา เล็งเป้าหมายไปที่ เจมส์ แมดดิสัน กองกลาง เลสเตอร์ ซิตี ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในการออกสตาร์ทฤดูกาลนี้

3 ปัญหาส่ง 'แมนฯยูไนเต็ด' สู่ยุคมืด

จัดการสัญญาผู้เล่นผิดพลาด
    หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเผชิญมาหลายปีคือการต่อสัญญากับนักเตะ ซึ่งในยุคของ เซอร์ อเลกซ์ เฟอร์กูสัน นั้น “ปีศาจแดง” มีความระมัดระวังอย่างมากในการจะขยายสัญญากับแข้งแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเตะที่มีอายุเกินเลขสามไปแล้ว
    ยกตัวอย่างเช่น ไรอัน กิกส์ ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในดาวเตะซูเปอร์สตาร์ของทีมในยุคนั้น ทว่าเมื่อเจ้าตัวที่ขณะนั้นมีอายุ 35 ปีหมดสัญญา “เซอร์เฟอร์กี” กลับยื่นสัญญาให้กับเจ้าตัวอีกเพียงแค่ 1 ปี โดยพิจารณาจากหลายองค์ประกอบทั้งเรื่องฟอร์มการเล่น และอายุการใช้งาน นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะไม่มีการต่อสัญญาในระยะยาวเพื่อจะได้เปิดทางให้แข้งหน้าใหม่ หรือนักเตะดาวรุ่งที่จะเข้ามาสู่ทีมชุดใหญ่แทน
    อย่างไรก็ตามหลังจากหมดยุคของบรมกุนซือรายดังกล่าวไป การต่อสัญญาของนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูจะผิดพลาดไปหมด โดยพวกเขามักจะต่อสัญญากับนักเตะที่มีอายุมาก รวมถึงฟอร์มการเล่นไม่ค่อยดีนัก เช่น คริส สมอลลิง, ฟิล โจนส์ และแอชลีย์ ยัง ในระยะยาว รวมถึงค่าเหนื่อยที่มหาศาล ซึ่งทำให้เสียงบกับเรื่องดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
    ขณะที่กับแข้งตัวหลักอย่าง ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูจอมหนึบ ที่ถือว่าเป็นคีย์แมนของทีมมาโดยตลอด และกำลังจะหมดสัญญาหลังจบซีซั่นนี้ ทว่าบอร์ดบริหารของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับไม่กล้าทุ่มค่าเหนื่อยที่คาดว่าจะอยู่ที่ 350,000 ปอนด์ (ราว 12.8 ล้านปอนด์) ต่อสัปดาห์ เพื่อรั้งตัวเขาให้อยู่ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ต่อไป ทำให้เขาสามารถย้ายทีมแบบไร้ค่าตัวได้หลังจบฤดูกาลนี้ จนเป็นประเด็นที่ทำให้แฟนๆทั่วโลกรู้สึกไม่พอใจกับนโยบายเกี่ยวกับการจัดการสัญญาของผู้เล่นเป็นอย่างมาก และมองว่าเป็นจุดที่จะทำให้ทีมไม่สามารถพัฒนาจากจุดที่เป็นอยู่ได้

3 ปัญหาส่ง 'แมนฯยูไนเต็ด' สู่ยุคมืด

    ทั้ง 3 ปัญหาข้างต้นคือปัจจัยสำคัญที่ฉุดให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าสู่ยุคมืด ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับ โอเล กุนนาร์ โซลชา ว่าจะทำให้ทีมกลับสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นได้หรือไม่

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ