
ตรุษจีน"มังกร"(ไม่)ซ่อนความอร่อย
ย่านเยาวราช "ไชน่าทาวน์เมืองไทย" หรือ "ถนนมังกรทอง" ชุมชนคนไทยเชื้อสายจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นอกจากจะเป็นตำนานความรุ่งเรืองเรื่องค้าขาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ตีคู่กันมาคือความอุดมสมบูรณ์ด้านอาหารการกิน จนร่ำลือกันว่าหากมีโอกาสได้แวะรับประทานอาหารที่นี่
ดังนั้น ในวันขึ้นปีใหม่ของพี่น้องไทยอาตี๋อาหมวย จึงไม่แปลกหากให้นึกถึงย่านความอร่อยสำหรับกินดื่มต้อนรับตรุษจีนที่ปีนี้ตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ เยาวราชจึงกลายเป็นเป้าหมายในอันดับต้นๆ ซึ่งวันนี้จะขอพักเรื่องงาน 1 วันเต็มๆ เพื่ออาสาเป็นไกด์เสาะหาร้านอร่อยบนถนนมังกรทอง เผื่อจะเป็นไอเดียให้ใครหลายคนที่ยังนึกไม่ออก
ย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย แต่การจราจรก็วุ่นวายไม่แพ้กันแบบนี้ การเดินเท้าสาวเข้าไปค้นหาน่าจะเป็นวิธีสะดวกกว่าหนทางอื่น ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าจะให้สบายๆ แดดไม่ร้อนมาก และเจอร้านอร่อยอย่างที่ตั้งใจไว้ แนะนำให้มาสัก 4 โมงเย็นเป็นต้นไป เพราะร้านส่วนใหญ่จะเปิดขายเวลาประมาณนี้
เอาล่ะ บ่ายแก่ๆ เดินผ่านร้านทองยั่วกิเลสจนคอชักแห้งแวะจิบน้ำกันก่อน เลี้ยวเข้าซอยผดุงด้าวเข้าร้าน "กาแฟเอี๊ยะแซ" ร้านเก่าแก่รุ่นคุณปู่ ถึงตอนนี้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปบ้างเพราะมีการจัดระเบียบใหม่ แต่การได้นั่งจิบชา-กาแฟที่นี่ยังรำลึกได้ถึงกลิ่นอายสมัยอดีต สั่งกาแฟเย็นแก้วละ 20 บาทพร้อมขนมปังปิ้งทาเนยและนมชุดละ 25 บาทมากินเล่นๆ อร่อยดี แต่อาจจะหาเพื่อนคุยยากหน่อยนะเพราะมีแต่รุ่นอาป๊าอาแปะจับกลุ่มกันดูท่าทางคุยออกรสยิ่งกว่ารสชาติกาแฟในแก้วซะอีก
บรรยากาศเยาวราชช่วงนี้คึกคัก ผู้คนเข้ามาจับจ่ายข้าวของเตรียมไหว้เจ้ากันอย่างกับแจกฟรี ไม่แพ้บรรยากาศในร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา "ยู้ ลูกชิ้นปลาเยาวราช" ร้านทันสมัยสะอาดสะอ้าน ถามไถ่สาวเจ้าของร้าน "ยู้" เกยูร โชคล้ำเลิศ ถึงรู้ว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ของร้าน "อึ้งเป็งชุง" เจ้าอร่อยตั้งแต่รุ่นอากง 80 กว่าปีมาแล้ว ความอร่อยอยู่ที่ลูกชิ้นปลาทำจากปลาอินทรี ปลากะพง และปลาหางเหลือง นุ่มเด้งดึ๋งกัดแล้วเนื้อปลาเน้นๆ บวกกับน้ำซุปที่เคี่ยวจากน้ำต้มลูกชิ้นไม่ใส่ผงชูรสจึงหวานธรรมชาติ ร้านใหม่นี้เจ้าของอยากปั้นแบรนด์ของตัวเองให้ดูทันสมัยขึ้นแต่วัตถุดิบทุกอย่างมาจากอึ้งเป็งชุงล้วนๆ ขายเบาๆ ชามละ 30 บาท ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 9 โมงครึ่งถึง 3 ทุ่ม แต่ 6 โมงเย็นกว่าๆ ก็ใกล้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าชะล่าใจถ้าไม่อยากพลาด
แต่ที่ขายทั้งวันทั้งคืนและกลายเป็นสัญลักษณ์ของย่านนี้ไปแล้ว นั่นคือ "หูฉลาม" และ "รังนก" แหม...อาหารประเภทนี้จะบอกว่าเฉพาะกลุ่มก็ว่าได้ และดูจะเป็นลัญลักษณ์ของความไฮโซหรูหรา ตลอดสองฝั่งมังกรที่คดเคี้ยวมีร้านหูฉลามทั้งดังมากดังน้อยเต็มไปหมด ส่วนราคาก็มาตรฐานติดป้ายหราทุกร้านส่วนมากเริ่มที่ 300, 500, 1,000 บาทตามขนาด เห็นเขาว่าร้านไหนก็เหมือนๆ กันเลยแวะ "หูฉลาม ฮั่ว เซ่ง ฮง" ตรงข้ามตลาดเก่าได้ยินว่าขายมาครึ่งศตวรรษแล้ว สั่ง "หูฉลามน้ำแดงเนื้อปู" ขนาดกลางใส่เห็ดหอมด้วย แล้วไม่ลืม "กระเพาะปลาน้ำแดง" อีกชาม ก็ตามตำรับจีนเขาล่ะมีกลิ่นเหล้าจีนหน่อยๆ ซดคล่องคอ
สิ้นแสงพระอาทิตย์ แสงสียามค่ำคืนก็มาแทนที ที่มาคู่กันอย่างที่บอกคือร้านแผงลอยรถเข็นเริ่มแผ่อิทธิพลยึดทั้งทางเท้าและเลนรถวิ่ง ความจริงน่าจะจัดระเบียบได้ เพราะรถติดเหลือเกิน แต่อีกเสียงหนึ่งบอกนี่แหละสีสันเยาวราช ก็สุดแต่ใครจะมองมุมไหน แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ถูกใจนักชิมไม่น้อยเพราะมีให้เลือกกินสนุก
อย่างร้านประเภทผัดๆ ไม่มีชื่อที่ตั้งขายประจำหน้าห้างทองโต๊ะกังติดกับตรอกมังกรมากว่า 30 ปี ก็มีของอร่อยโดยเฉพาะ สุกี้แห้ง, ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่, เซี่ยงไฮ้ผัดขี้เมา และเส้นหมี่กระเฉดกระทะร้อน ที่ประยุกต์มาจากผัดผักกระเฉดแบบเจ แต่ใส่หมึกกรอบ หมึกสด ไก่ และกุ้ง เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่น้ำพริกปรุงรสเวลาผัด เพราะผสมจากพริก ตะไคร้ ข่า น้ำตาล น้ำมะนาว ปั่นผสมกันออกแนวสมุนไพร ผัดให้ไฟลุกท่วมตื่นเต้นดี จึงได้ทั้งความหอมและรสชาติเผ็ดร้อนถึงใจ ธรรมดา 50 บาท พิเศษ 70-100 บาท และใกล้ๆ กันก็มีของกินเล่นอย่างเกี๊ยวซ่า ตัวไส้ใส่หมูสับ กะหล่ำปลีซอย ผักชี พริกไทย จิ้มจิ๊กโฉ่วที่ปรุงหวานๆ อร่อยดี
ถัดไปหน่อยเป็น ก๋วยจั๊บน้ำใสนายเล็ก (อ้วน) ราคายืนพื้น 40-50 บาท รับประกันเรื่องคุณภาพวัตถุดิบเพราะเครื่องกวยจั๊บไม่ว่าจะเป็นตับหมู หมูกรอบ ไส้ เส้น สดใหม่วันต่อวัน เวลาลูกค้าสั่งจะไม่มีการสับไว้ จะหั่นกันจานต่อจานเห็นแล้วต้องนึกอยากกิน แต่คงต้องใจเย็นๆ เพราะกว่าจะขายก็ประมาณ 1 ทุ่ม ที่แน่ๆ คิวค่อนข้างยาว ถ้ารอไม่ไหวแนะนำให้หานั่งร้านอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันทั้งร้านข้าวแกงกะหรี่, ผัดไทยห่อไข่,ข้าวมันไก่ไหหลำ ความขึ้นชื่อลือชาก็ไล่เลี่ยกัน
ย่ำเท้าหลบคนหลบรถจอแจ จนมาถึงซอยเท็กซัสไม่ได้ตั้งใจมาลิ้มลองสุกี้เท็กซัสแต่มาสะดุดกับแผงเล็กๆ ริมทางตรงข้ามกันเห็นคน 8-10 คนนั่งล้อมวงกัน ทั้งแคะและกินอย่างสนุกปาก ร้านหอยลวกป้าซิ่วจิน ขายหอยแครงและหอยแมลงภู่ลวกมามากกว่า 30 ปีแล้ว ก็ตั้งแต่คุณป้าสาวๆ โน่นแหละ ตอนนั้นทองบาทละ 400 ป้าขายจานละ 5 บาท จนตอนนี้ป้าอายุ 70 ปี ราคาทองเหยียบบาทละ 2 หมื่น หอยลวกของป้าเลยกระดึ๊บราคาจานละ 100 บาท ดูไซส์แล้วต้องให้แก ตัวเป้งๆ ทั้งนั้นเป็นหอยเลี้ยงรับมาจากเมืองเพชรบุรี และที่เป็นจุดขายคือบริการแกะหอยให้ด้วย จิ้มน้ำจิ้ม 3 แบบ มีซีฟู้ด, สามรสใส่ถั่ว (สูตรโบราณ) และหวานล้วนใส่ถั่ว ปกติป้าขายเองแต่บางวันก็มีลูกชายจะมาช่วยแกะหอย ขายตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน เด็ดแค่ไหนต้องลอง!
ถ้ายังพอมีพื้นที่ว่าในกระเพาะอย่าลืมเผื่อไว้ให้ขนมหวานขึ้นชื่อของเยาวราชอย่าง เต้าทึง (เชงทึง) แปะก๊วยน้ำขิง บัวลอยน้ำขิง รังนกน้ำขิงร้อน-เย็น ซึ่งตั้งแผงขายตลอดสองฝั่งหลังพระอาทิตย์ตกดิน แต่ละร้านทั้งวัตถุดิบและรสชาติไม่ค่อยต่างกัน จะต่างก็แต่คนขายที่เป็นคนละคน (อิอิ) ส่วนราคาเหมือนกันทุกร้านเริ่มที่ 40, 50 จนไปถึงพิเศษ 100 บาท ซดร้อนๆ ล้างคอล้างปากอยู่หมัด
แต่ละร้านที่แวะชิมมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีร้านอร่อยตามตรอกซอกซอยทั่วเยาวราชที่อาจเข้าไม่ถึง ตรุษจีนปีนี้หลังวันไหว้ถ้ามีโอกาสตระเวนเที่ยวตระเวนกินก็ลองแวะไปกันได้ หรือแม้แต่ร้านอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในละแวกเยาวราชก็ไม่ขัดศรัทธา
เอาเป็นว่า ทำจิตให้โปร่ง ยึดมั่นในคติดี ไม่ว่าตรุษจีนปีไหนๆ ก็จะมีแต่ เฮง เฮง เฮง!