'วอเตอร์ฟร้อนท์' มหากาพย์ คอนโดหรู พัทยา ที่มา 'อิทธิพล คุณปลื้ม' โดนหมายจับ

กลับมาเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้ง หลังศาลออกหมายจับ “อิทธิพล คุณปลื้ม” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในคดีออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ คอนโดหรู “วอเตอร์ฟร้อนท์” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา และ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด แต่ “อิทธิพล” ไม่เข้าพบพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ตามนัดหมาย จึงเป็นที่มาให้ศาลออกหมายจับ เพราะเข้าข่ายเชื่อได้ว่า มีพฤติกรรมหลบหนี ทั้งที่เหลืออายุความ 5 วัน คมชัดลึก พาย้อนรอย “วอเตอร์ฟร้อนท์พัทยา” ที่เรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์ ที่ยืดเยื้อมานาน 15 ปี

ย้อนมหากาพย์ “วอเตอร์ฟร้อนท์ พัทยา”

 

 

 

โครงการ “วอร์เตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์ เรสซิเดนท์” พัทยา ได้ดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี 2551 บริเวณท่าเทียบเรือพัทยาใต้ แหลมบาลีฮาย จ.ชลบุรี โดยเป็นคอนโดมิเนียมสุดหรู ริมอ่าวพัทยา ขนาดความสูง 53 ชั้น มีจำนวนห้องพัก 312 ห้อง และมีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ พากันเช่าซื้อในสนนราคาตั้งแต่ 4-10 ล้านบาท โดยทางโครงการระบุในสัญญาว่า จะทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบห้องพักให้ผู้ซื้อได้ภายในเดือน ธ.ค. 2558

 

 

ในช่วงปี 2557 “วอเตอร์ฟร้อนท์” ถูกร้องเรียนเรื่องการก่อสร้างอาคารสูง บดบังบังทัศนียภาพของอ่าวเมืองพัทยา จากจุดชมวิวเขาพระตำหนักพัทยา ขณะที่กลุ่มพัทยา วอชด็อก ได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้อง ออกมาชี้แจงเรื่องใบอนุญาตก่อสร้างตั้งแต่ปี 2551 แต่หมดอายุ 2553 โดยปีเดียวกัน พัทยาถูกประกาศให้อยู่ในเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น การปลูกสิ่งก่อสร้างต่างๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อตรวจสอบการก่อสร้างคอนโดหรูดังกล่าวพบว่า มีการก่อสร้างหลังปี 2553

โดยเจ้าของโครงการ คือ บริษัท บาลี ฮาย จำกัด ซึ่งข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท บาลี ฮาย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2550 ทุนปัจจุบัน 8 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 301 หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี แจ้งประกอบธุรกิจการซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง ที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย  พัฒนาและค้าอสังหาริมทรัพย์ กรรมการผู้มีอำนาจ คือ นายผดุงศักดิ์ เลาหสุรโยธิน, น.ส.นิโคล มารี ฮัฟ, น.ส.นาตาชา ลอเรน ฮัฟ และ นาย เฉลิมวัฒน์ วิมุกตายน

 

 

ในช่วงปลายปี 2551 “อิทธิพล คุณปลื้ม” นายกเมืองพัทยาในขณะนั้น ได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง พร้อมระบุว่า เมืองพัทยาไม่สามารถออกใบอนุญาตก่อสร้างในรอบที่ 3 ให้ได้ เนื่องจากตรวจพบว่ามีการก่อสร้างผิดแบบตั้งแต่ฐานราก รวมทั้งตำแหน่งช่องลิฟต์และบันไดหนีไฟ และยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักการช่าง เข้าตรวจสอบสภาพตัวอาคาร เพื่อให้แก้ไขรายละเอียดแบบแปลนรวม 42 จุด

 

 

ปลายปี 2559 เจ้าของโครงการ แจ้งต่อเมืองพัทยา ว่า พร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดตามกฎหมาย รวมทั้งการลดระดับความสูงของอาคารลง 8 ชั้น เพื่อลดผลกระทบต่อภาคประชาชนที่ต่อต้านอย่างหนัก เนื่องจากโครงการบดบังภูมิทัศน์ และตั้งขวางแนวอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บนเขา สทร.5 พัทยา

 

 

โดยในช่วงที่เมืองพัทยา ยังไม่ออกใบอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้าง ยังได้มอบหมายให้นิติกรเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อบริษัท บาลีฮาย จำกัด ใน 2 ข้อหาคือ ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น และ บุกรุกพื้นที่สาธารณะ จนทำให้กลุ่มผู้ซื้อห้องพัก รวมตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ และความเสียหาย จนทำให้โครงการต้องยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อขอฟื้นฟูกิจการ หลังต้องแบกภาระหนี้กว่า 2.39 พันล้านบาท แต่ศาลไม่รับคำร้อง

ต่อมา ในปี 2561 ข่าวคราวโครงการวอร์เตอร์ฟร้อนท์ฯ กลับมาคึกโครมอีกครั้ง เมื่อทีมทนายฝั่งผู้ซื้อ เปิดแถลงข่าวหลังศาลฎีกาพิพากษาว่า การออกโฉนดที่ดิน “อาชาแลนด์” ซึ่งอยู่ติดกับโครงการไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมแจงที่มาว่า แปลงที่ดินของคอนโดฯ มาจากเอกสารสิทธิเดียวกันที่ถูกแบ่งแยกขายออก จึงเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐเข้าตรวจสอบ ขณะที่คดีความคืบหน้าการฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายก็ชะงักลง หลังผู้รับผิดชอบโครงการถอนคดี จนผู้ซื้อต้องรวบรวมเอกสารส่งฟ้องเรียกทรัพย์สินคืน

 

 

ต่อมา ได้มีประกาศจากเมืองพัทยา ให้รื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 4 และ 43 วรรคสาม (กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต แก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคาร หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงใบอนุญาต)

 

 

กระทั่ง นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ได้ลงนามหนังสือประกาศคำสั่งของเมืองพัทยาที่ ชล.52304/9377 ลงวันที่ 27 ต.ค. 2563 เพื่อออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชน ร่วมเสนอราคาและวิธีการรื้อถอนอาคารอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่า เมืองพัทยาจำเป็นต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารโครงการ ซึ่งก่อสร้างผิดแบบจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต หลังมีคดีความยืดเยื้อมานานนับ 10 ปี

 

 

ปี 2564 บริษัท บาลีฮาย จำกัด ผู้บริหารโครงการ “วอร์เตอร์ฟรอนท์พัทยา” ได้ยื่นขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างจากเมืองพัทยาอีกครั้ง โดยระบุว่า ได้ทำการรื้อถอนอาคารบริเวณด้านหน้าที่มีแนวเชื่อมต่อกับอาคารสูง จากระยะ 90 เมตรให้เหลือ 60 เมตร พร้อมจะปรับลดขนาดพื้นที่ให้ตรงตามแบบที่ขออนุญาตไปในครั้งแรก ซึ่งกรณีนี้จะทำให้เข้าข่ายการขออนุญาตได้ตามกฎกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากมีพื้นที่ของบริเวณโดยรอบติดถนนสาธารณะทั้ง 2 ฝั่ง คือ ถนนพัทยาสาย 3 และพัทยาสายหน้าท่าเทียบเรือพัทยาใต้

 

 

ประเด็นสำคัญคือ ที่ผ่านมาโครงการนี้ เมืองพัทยาได้มีการออกคำสั่งให้ทำการรื้อถอนอาคาร หรือ ค.15 ไปแล้ว และปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของการเขียน TOR เพื่อกำหนดคุณสมบัติของผู้รับจ้างและงบประมาณ แต่ที่ยังไม่ได้ดำเนินการรื้อถอน เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการหารือกลุ่มกฎหมาย รวมทั้ง สผ. และกรมโยธาธิการ ซึ่งได้ประสานไปเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว ด้วยยังไม่สามารถกำหนดชี้ชัดได้ว่า จะกระทำการอนุญาตให้ใหม่ได้หรือไม่ หลังมีคำสั่งรื้อถอนไปแล้ว และยังไม่สามารถระบุได้ว่า อาคารของโครงการมีใครเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง ที่เมืองพัทยาจะต้องทำการเรียกเก็บเงินจากค่ารื้อถอน ซึ่งทราบว่าขณะนี้พบว่า กำลังมีการฟ้องร้องกันอยู่ระหว่างทางโครงการกับเจ้าของห้องชุด จึงเกรงว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ได้

ประเด็นข้อพิพาท “วอเตอร์ฟรอนท์” ยังไม่จบ แต่เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด “อิทธิพล คุณปลื้ม” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา และพวก กรณีพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร (แบบ อ. 1) เลขที่ 700/2551 ลงวันที่ 10 ก.ย. 2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟรอนท์ฯ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 5 ต่อ 1 เสียง เห็นว่า นายอิทธิพล มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีมูลสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง

 

 

5 ก.ย. 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 มีคำสั่งออกหมายจับ นายอิทธิพล คุณปลื้ม ตามคำร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช.  หลังจาก นายอิทธิพล ไม่ได้เดินทางมาพบพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ในคดีถูกกล่าวหาพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร “วอเตอร์ฟรอนท์” ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญา และเชื่อว่ามีพฤติการณ์หลบหนี นอกจาก นายอิทธิพล ที่ถูกขอออกหมายจับแล้ว ยังมีผู้ถูกกล่าวหาบางส่วนที่ถูกขอออกหมายจับด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มาข้อมูลบางส่วน : สำนักข่าวอิศรา