เตือนภัย 'บุหรี่ไฟฟ้า' ตั้งเป้ารุกเข้าหา 'กลุ่มเด็ก'

     ศ.นพ. ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบเผยแพร่บทความเตือนภัย บุหรี่ไฟฟ้า มีเป้าหมาย เจาะกลุ่มเด็ก ด้วย รูปลักษณ์ และกลิ่น มีเนื้อหาว่า บุหรี่ไฟฟ้า แม้ห้ามขายจะควบคุมยาก แต่ให้ขายได้จะยิ่งควบคุมยากกว่า     บุหรี่ไฟฟ้ารุ่นที่ 5 ชัดเจนว่า เป้าหมายเจาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นทั้งรูปลักษณ์อุปกรณ์ และกลิ่นหอมชนิดต่างๆ ทั่วโลกกำลังปวดหัวกับการตลาดที่เรียกว่า การตลาดล่าเหยื่อ หรือที่ UNICEF ใช้คำว่า Predatory marketing

รายงานล่าสุดขององค์การอนามัยโลก(ค.ศ.2023) ทั่วโลกมี 4 ประเทศที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีกลิ่นรสชนิดใดชนิดหนึ่งที่ชัดเจน และมีอีก 9 ประเทศที่ห้ามเติมสารที่ทำให้เกิดกลิ่นรสบางตัว       หลายๆประเทศพยายที่จะออกกฏหมายห้ามเติมสารปรุงแต่งกลิ่นรส(Flavor) ทุกชนิด แต่ยังออกไม่ได้เพราะบริษัทบุหรี่คัดค้าน   ประเทศไทย มีพรรคการเมืองบางพรรค เสนอให้บุหรี่ไฟฟ้าขายได้ถูกกฏหมาย แต่ห้ามเติมสารปรุงแต่งกลิ่นรส(Flavor) เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆสูบปัญหาคือ หากห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าที่ปรุงแต่งกลิ่นรส ซึ่งเป็นบุหรี่ไฟฟ้าชนิดที่กลุ่มเด็กและเยาวชนชื่นชอบ

บุหรี่ไฟฟ้าที่มีกลิ่นรส ก็จะยังมีขายอย่างผิดกฎหมายต่อไป  ตราบเท่าที่กลไกการบังคับใช้กฏหมายของประเทศ ยังไม่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่      ในสหรัฐอเมริกา นักเรียนชั้นมัธยมที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 70% เริ่มสูบเพราะมีกลิ่นหอมที่ตัวเองชอบ และวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 85% สูบชนิดที่มีกลิ่นรส      อย่าลืมว่า สหรัฐอเมริกาห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าแก่คนที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปีแต่มีนักเรียนระดับมัธยมปลายลงมา สูบบุหรี่ไฟฟ้า 2.5 ล้านคนในปี ค.ศ.2022

พรรคการเมืองไทยจึงต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ที่ล็อบบี้ยิสต์บุหรี่ไฟฟ้า เสนอให้ยกเลิกการห้ามขายแล้วมาควบคุมไม่ให้เด็กเข้าถึง

หัวหน้าสำนักเลขานุการอนุสัญญาควบคุมยาสูบ ที่ติดตามปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศต่างๆทั่วโลก แนะนำรัฐบาลไทยว่า  แม้การห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าจะควบคุมยาก แต่การให้ขายได้ถูกกฏหมาย จะยิ่งควบคุมยากกว่า ในประเทศไทยมีรายงานว่า สถานศึกษา กำลังประสบปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็ก และ เยาวชนอย่างหนัก เพราะสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ โดยไม่มีหน่วยงานไหนเข้าไป ตรวจสอบ

นอกจากนี้ ร้านขายบุหรี่ไฟฟ้า ยังสามารถพบเห็นได้ทั่วไปเช่นที่บริเวณ ริมถนน สุขุมวิทย์ บริเวณสี่แยกอโศก ในช่วงค่ำ  แม้ผู้ครอบครองจะมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ ลักลอบนำเข้าโทษจำคุกไม่เกิน10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท