ข่าว

WHO เตือน เฝ้าระวังการระบาด 'โควิด' จาก 'น้ำเสีย' ชะลอการระบาดในอนาคต

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

องค์การอนามัยโลก เตือน เฝ้าระวังการระบาด 'โควิด' จาก 'น้ำเสีย' กับการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ เพื่อ ชะลอ หรือ ซื้อเวลา การระบาดในอนาคต

องค์การอนามัยโลก แนะนำให้ชาติสมาชิกเฝ้าระวังการระบาด โควิด-19 จาก 'น้ำเสีย' (Wastewater Surveillance) ผนวกกับการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ (Genomic Surveillance) เพื่อ "ชะลอ" หรือ "ซื้อเวลา" การแพร่ระบาดของ 'โควิด' หรือ โรคอุบัติใหม่ ในอนาคต การระบาดใหญ่ไปทั่วโลก (Pandemic) ของโควิด-19 ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อยืนยัน 768,237,788 คน เสียชีวิต 6,951,677 คน

 

เปรียบได้กับคลื่นยักษ์สึนามิที่พุ่งเข้าหาฝั่ง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีของมนุษย์ที่สามารถยับยั้งคลื่นสึนามิเข้ากระทบฝั่งได้ เช่นเดียวกับการระบาดของ 'โควิด' ที่เรายังไม่สามารถลดความรุนแรงของการระบาดของโรคลงได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนหลายล้านคน แต่สามารถชะลอความรวดเร็วของการระบาดของ โควิด-19 ลงได้เพื่อให้ระบบการรักษาผู้ติดเชื้อในสถานพยาบาลของประเทศมีจำนวนเตียงและอุปกรณ์สำคัญ เช่นถังออกซิเจนรองรับผู้ป่วยได้พอเพียง ทำให้ลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้เป็นจำนวนมาก

 

 

การชะลอหรือซื้อเวลา (delay or buy time) สำหรับการระบาดของ COVID-19 นั้นเกี่ยวข้องกับการใช้มาตรการและกลยุทธ์การป้องกันต่างๆ เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไวรัสอันจะส่งผลให้สามารถลดจำนวนผู้ป่วยรุนแรงและเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในมาตรการนั้นคือการเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสีย

 

 

การตรวจหาโควิด-19 ใน 'น้ำเสีย' และการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ในชุมชนจะชะลอหรือซื้อเวลาสำหรับการระบาดของ โควิด-19 เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลกเห็นสมควรและแนะนำชาติสมาชิกดำเนินการเนื่องจากมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยป้องกันระบบการรักษาผู้ติดเชื้อในสถานพยาบาลของประเทศมิให้ล้มเหลว ลดภาระการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยรักษาชีวิตผู้คน

 

 

การเฝ้าระวัง โควิด-19 จาก 'น้ำเสีย' ได้กลายเป็นวิธีการติดตามการปรากฏอยู่และแนวโน้มการระบาดของโควิด-19 ในชุมชน ด้วยการวิเคราะห์สารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 ที่ปะปนอยู่ในน้ำเสีย ซึ่งประชาชนได้ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระไหลมารวมกันในบ่อบำบัด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับการไหลเวียนและการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ภายในชุมชนนั้นๆ เป็นเสมือนสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่จะมีผู้เจ็บป่วยและต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. ประมาณถึง 4-6 วัน (ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (US CDC))  

 

 

เป็นการชะลอหรือการซื้อเวลา (delay or buy time) ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้มีเวลาเตรียมพร้อมและออกมาตรการเพื่อการลดหรือบรรเทาผลกระทบของการระบาด (outbreak) จากโควิด-19 

 

 

การเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสียในต่างประเทศ

 

ระบบเฝ้าระวังน้ำเสียแห่งชาติ (National Wastewater Surveillance System: NWSS) ของสหรัฐอเมริกาซึ่งพัฒนาโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)  เป็นตัวอย่างการดำเนินการเฝ้าระวังการระบาดของ 'โควิด' จากน้ำเสียที่ประสบความสำเร็จ  NWSS ประสานงานและสร้างขีดความสามารถของประเทศในการติดตามการปรากฏขึ้นของโควิด-19 ในน้ำเสียที่รวบรวมจากบ่อบำบัดน้ำเสียในแหล่งชุมชนใหญ่ทั่วประเทศด้วยการตรวจจับไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยเทคนิค "Real-time PCR" หรือ "Quantitative PCR" ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของโควิด-19 (ผลบวก) พร้อมจำนวน (จำนวนไวรัส/มิลลิลิตร) ในตัวอย่างน้ำส่งตรวจ ทำให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถระบุแนวโน้มการระบาดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถดำเนินการป้องกันให้กับชุมชนนั้นอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมข้อมูลการเฝ้าระวังอื่นๆ

 

นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ (Genomic Surveillance) อันเป็นการตรวจสอบรหัสพันธุกรรมของ ไวรัสโควิด-19 จากตัวอย่าง 'น้ำเสีย' ที่ผลการตรวจ Real-time PCR ให้ผลบวกร่วมด้วย ช่วยให้สามารถระบุชนิดของสายพันธุ์ทั้งเก่าและใหม่ที่ลดจำนวนลงหรือเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างจำเพาะเจาะจง ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขได้อย่างเหมาะสม เช่น รณรงค์การฉีดวัคซีนและปรับระยะเวลาในการ ฉีดเข็มกระตุ้น การใช้ แอนติบอดีสำเร็จรูป และการใช้ยาต้านไวรัสในการรักษา เป็นต้น

 

 

การเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสียในประเทศไทย

 

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ และสำนักวิจัยโรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการดำเนินการโครงการนำร่องการเฝ้าระวัง โควิด-19 จากน้ำเสียที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยตระหนักถึงศักยภาพของระบาดวิทยาจากน้ำเสีย สำนักวิจัยฯ ได้เก็บตัวอย่างน้ำเสียจากสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มาตรวจ Real-time PCR ตัวอย่างที่ให้ผลเป็นบวก ถูกส่งมาตรวจรหัสพันธุกรรมด้วยเทคนิค MassArray Genotyping ที่ ศูนย์จีโนมฯ เพื่อติดตามแนวโน้มของโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ ที่ไหลเวียนและการแพร่กระจายอยู่ในชุมชนนั้น เพื่อสามารถวางแผนรับมือ และดำเนินการตามเป้าหมายเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส

 

การควบรวมการเฝ้าระวังจีโนมิกส์ของโควิดเข้ากับการเฝ้าระวังน้ำเสียในประเทศไทยจะทำให้ได้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับความชุกของไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนความพยายามของประเทศในการติดตามและจัดการภูมิทัศน์ทางระบาดวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อการป้องกัน และรักษา ประชากรไทย ซึ่งดำเนินการได้ดีในระดับหนึ่ง สังเกตจากข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 20/7/2566 

 

  • ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 4,754,228 คน เสียชีวิต 34,410 คน  คิดเป็นร้อยละ 0.72
  • ประเทศสเปน มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 13,980,340 คน เสียชีวิต 121,853  คน  คิดเป็นร้อยละ 0.87
  • ประเทศอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 24,641,596 คน เสียชีวิต 228,144 คน  คิดเป็นร้อยละ 0.92
  • ประเทศสหรัฐ อเมริกา มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน  103,436,829 คน เสียชีวิต 1,127,152 คน  คิดเป็นร้อยละ 1.08
  • ประเทศอินเดีย มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 44,994,995 คน  เสียชีวิต 531,915 คน คิดเป็นร้อยละ 1.18

 

 

การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อจากน้ำเสียสามารถใช้เพื่อเฝ้าระวังโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้ด้วย เช่น โรคโปลิโอ ไข้หวัดใหญ่ โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบจากไวรัส เชื้อโรคที่ดื้อต่อยาต้านจุลชีพ โรคจากอาหารปนเปื้อนจุลชีพ เช่น โนโรไวรัส เชื้อซัลโมเนลลา คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ แคมพิโลแบคเตอร์ สแตฟฟิโลคอคคัส ออเรียส อหิวาตกโรค และโรคฝีดาษลิง ฯลฯ สามารถติดตามได้ผ่านการเฝ้าระวังน้ำเสียได้ดีเช่นกัน วิธีการนี้มีคุณค่าในระดับประชากรเกี่ยวกับความชุกและแนวโน้มการเกิดโรคติดเชื้อในชุมชน ซึ่งช่วยเสริมกลยุทธ์การตรวจหาและตอบสนองต่อโรคเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ

 

 

ความแตกต่างระหว่างการเฝ้าระวัง โควิด-19 ทางคลินิกและการเฝ้าระวังโควิด-19 จากน้ำเสีย

 

การเฝ้าระวังทางคลินิกและการเฝ้าระวังจาก 'น้ำเสีย' มีความแตกต่างกันในหลายด้าน การเฝ้าระวังทางคลินิกมุ่งเน้นไปที่การตรวจหาหรือการถอดรหัสสารพันธุกรรมของไวรัสหรือจุลชีพจากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลโดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์และความหลากหลายทางพันธุกรรมในบุคคลติดเชื้อก่อโรคที่มีอาการรุนแรง  ในทางตรงกันข้าม การเฝ้าระวังน้ำเสียให้มุมมองระดับชุมชนของความชุกและแนวโน้มของไวรัสหรือจุลชีพจากบุคคลที่ยังไม่แสดงอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรงที่จำเป็นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล การรวมข้อมูลจากทั้งสองวิธี (การเฝ้าระวังทางคลินิกและการเฝ้าระวังจากน้ำเสีย) ทำให้เกิดความเข้าใจที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรค ทั้งสายพันธุ์ที่ไม่แสดงอาการหรือก่อโรค และสายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรง  

 

 

ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวในการเฝ้าระวังจีโนมของน้ำเสีย

 

ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวเกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวังจีโนมของน้ำเสีย การถอดรหัสพันธุกรรมดีเอ็นเอจากน้ำเสียอาจมีดีเอ็นเอของประชาชนในชุมชุนปะปนอยู่ ซึ่งจากรหัสพันธุกรรมที่ถอดออกมาได้อาจสามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้จากตัวอย่างน้ำเสีย เมื่อนำไปเชื่อมโยงกับชุดข้อมูลอื่นๆ อาจทำให้ความเป็นส่วนตัวลดลง การเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับตัวบุคคล การระบุว่าผู้ใด หรือกลุ่มใดในชุมชนติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใดอาจก่อให้เกิดการตีตราทางสังคม (social stigma) ได้ ดังนั้นการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้มงวด

 

 

การชะลอหรือซื้อเวลาการระบาด (delay or  buy time) ประเภทอื่นๆ  เช่น

 

1. การใช้มาตรการด้านสาธารณสุข : บังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุข เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และการส่งเสริมสุขอนามัยของมือ เช่นการล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง มาตรการเหล่านี้ช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสและชะลอการแพร่ระบาดภายในชุมชน

 

2. การทดสอบและการติดตามผู้สัมผัส : เพิ่มขีดความสามารถในการทดสอบและติดตามผู้สัมผัสของผู้ติดเชื้อ อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบและการติดตามผู้สัมผัสอย่างทันท่วงทีช่วยระบุและแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 ป้องกันการแพร่เชื้อเพิ่มเติมและซื้อเวลาในการดำเนินการแทรกแซงอื่นๆ

 

3. แคมเปญการฉีดวัคซีน : เร่งความพยายามในการฉีดวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมประชากรโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเด็กเล็ก การฉีดวัคซีนมีบทบาทสำคัญในการลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง การรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต การให้วัคซีนแก่คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะช่วยลดผลกระทบของการระบาดอย่างมีนัยยสำคัญ และสามารถซื้อเวลาเพื่อควบคุมการแพร่กระจายได้

 

4. การจำกัดการเดินทางและการควบคุมชายแดน : ใช้มาตรการจำกัดการเดินทางและการควบคุมชายแดนเพื่อจำกัดการเข้ามาของไวรัสจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง มาตรการเหล่านี้ช่วยชะลอการเกิดผู้ป่วยรายใหม่และซื้อเวลาในการเสริมสร้างความพร้อมและการตอบสนองของระบบการรักษาพยาบาลในท้องถิ่น

 

5. การเผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนให้เกิดการตระหนักรู้ด้านสาธารณสุขที่ถูกต้องในการป้องกัน ดูแล และรักษาโรคโควิด-19 (COVID-19 health literacy) : สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันแก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับโควิด-19 การแพร่เชื้อ และมาตรการป้องกัน ส่งเสริมการรับรู้และการศึกษาของชุมชนเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุขอันสามารถชะลอการระบาดของโรคได้อย่างมาก 

 

6. เสริมสร้างศักยภาพของระบบสุขภาพทั้งระบบ : เช่นการเพิ่มห้องความดันลบในโรงพยาบาล เพิ่มศูนย์ตรวจ PCR จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่นถังออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยโควิดให้พอเพียง ลงทุนปรับปรุงทั้งปริมาณและคุณภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ที่จะระบาดในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเกิดถี่ขึ้นสิ่งนี้ช่วยให้สามารถจัดการโรคระบาดได้ดีขึ้น ลดความตึงเครียดในสถานพยาบาล และมีเวลามากขึ้นในการตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

 

7. การวิจัยและพัฒนา : สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยด้วยตนเองหรือผ่านห้องปฏิบัติการ การผลิตวัคซีนให้ได้ภายในประเทศเพื่อการป้องกัน ทดสอบสมุนไพร ยาต้านไวรัส และแอนติบอดีสำเร็จรูป เพื่อการรักษา  การลงทุนในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สามารถช่วยเร่งปรับปรุงผลลัพธ์ในการป้องกันและรักษาผู้ป่วยและสามารถซื้อเวลาในการควบคุมการระบาดโควิด-19  

 

8. การสนับสนุนทางสังคมและเศรษฐกิจ : ให้การสนับสนุนบุคคลและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด มาตรการต่างๆ เช่น ความช่วยเหลือทางการเงิน การคุ้มครองงาน และเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและช่วยให้บุคคลสามารถปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขโดยไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากที่เกินควร

 

 

การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ร่วมกันและปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุขในชุมชนจะสามารถชะลอหรือซื้อเวลาสำหรับการระบาดของโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ได้อย่างมีนัยสำคัญ แนวทางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันระบบการรักษาพยาบาลไม่ให้ล้มเหลว ลดภาระการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยชีวิตประชากรได้อย่างมาก

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ