ข่าว

ถอด 13 บทเรียน 'โควิด-19' เพื่อลดผลกระทบของ โรคอุบัติใหม่ ในอนาคต

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิด 13 ประเด็นสำคัญ ที่ทั่วโลกได้จากการถอดบทเรียน 'โควิด-19' เพื่อต่อยอด ลดผลกระทบของโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ยับยั้งการระบาด ลดการเจ็บป่วย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เปิดเผยข้อมูล 13 ประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกได้จากการถอดบทเรียนจากประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Natural history) ของ 'โควิด-19' เพื่อนำไปใช้ต่อยอดในการลดผลกระทบของโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะยับยั้งการระบาดแพร่ระบาด ลดการเจ็บป่วยรุนแรง ลดการป่วยเรื้อรัง และลดการเสียชีวิต

 

ในช่วง 3 ปีของการระบาดของ 'โควิด-19' ทั่วโลก (Pandemic) องค์การอนามัยโลกรายงานว่ามี ผู้ติดเชื้อโควิด จำนวน 767 ล้านคน และเสียชีวิต 6.9 ล้านคน ทำให้หลายประเทศเร่งถอดบทเรียนจากการศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติของ โควิด19 อันหมายถึงการศึกษาข้อมูลการอุบัติขึ้น การลุกลามแพร่ระบาดของโรค ศึกษาอาการตั้งแต่เริ่มมีอาการจนหายหรือเสียชีวิต เพื่อนำมาปรับใช้ลดผลกระทบของโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อ ลดการเจ็บป่วยรุนแรง ลดการป่วยเรื้อรัง และลดการเสียชีวิต สรุปได้ 13 ข้อดังนี้

 

 

1. เร่งฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งรับสมัครเพิ่มเติม : ลงทุนในการปรับปรุงทั้งปริมาณและคุณภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ที่จะระบาดในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเกิดถี่ขึ้น จากการรุกป่า ภาวะโรคร้อน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเดินทางระหว่างประเทศด้วยเครื่องบินมากขึ้น การอยู่อย่างหนาแน่นของประชาชนในเขตเมือง

 

ประเทศไทย : มีการจัดตั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศและอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ในการเข้าถึงประชาชนทุกครัวเรือน
ในกรุงเทพจะมีสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กรมควบคุมโรคทำงานร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในการควบคุม โรคระบาด ในเขตเมือง มีสถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรคดูแลผู้ติดเชื้อรุนแรงหรือโรคอุบัติใหม่ซึ่งมักจะมาจากผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ส่วนใหญ่มาทางเครื่องบิน ได้รับงบประมาณเพิ่มปริมาณของห้อง ICU ความดันลบ และเตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนาม

 

 

2. ควรมีระบบการตรวจผู้ติดเชื้อและทราบผลอย่างรวดเร็ว ผนวกกับระบบติดตามผู้สัมผัส (contact tracing) ขึ้นเพื่อรับมือและยับยั้งการแพร่ระบาด

 

ประเทศไทย : มีหน่วยตรวจไวรัสโควิด-19 ด้วยเทคนิค PCR  ที่ผ่านการรับรองทั่วประเทศกว่า 400 แห่ง สามารถปรับมาใช้ตรวจหาจุลชีพและไวรัสที่ก่อโรคระบาดอื่นๆได้ 

 

 

3. การเพิ่มการผลิตอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลหรือ PPE สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ให้พอเพียง, เพิ่มปริมาณของห้อง ICU ความดันลบ,  และเตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนาม

 

 

4. ตั้งศูนย์เฝ้าระวังการระบาดของโรคอุบัติใหม่หรือโรค "X" (ผู้ป่วยที่เกิดการติดเชื้อไม่ทราบสาเหตุ) และโรคอุบัติซ้ำด้วยการ

 

4.1 การตรวจจีโนมของจุลชีพและไวรัสจากน้ำเสียในชุมชน (City-wide wastewater genomic surveillance) เพื่อบ่งชี้ประเภทเชื้อในชุมชนก่อนเกิดการเจ็บป่วย 

 

4.2 ถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมจุลชีพและไวรัสขั้นสูงทั้งดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ ด้วยเทคโนโลยี "เมตาจีโนมิกส์" (Metagenomics) จากสิ่งส่งตรวจจากผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อบ่งชี้ว่าผู้ป่วยติดเชื้ออะไร

 

4.3 การถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมของจุลชีพและไวรัสจากผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามการกลายพันธุ์ที่อาจก่อโรครุนแรง (Variants and Genomic Surveillance for pathogens)

 

 

5. ภาครัฐสนับสนุนเงินทุนวิจัยสำหรับพัฒนาเทคนิคการวินิจฉัยเชื้ออุบัติใหม่ที่รวดเร็ว การผลิต วัคซีน แอนติบอดีสำเร็จรูป ยาต้านไวรัส และการวิจัยโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน รวมทั้งเพิ่มความรวดเร็วของคณะกรรมการจริยธรรมในการพิจารณาอนุมัติโครงการวิจัยฯที่เกี่ยวข้องกับโรคอุบัติใหม่เพื่อทันต่อสถานการณ์การระบาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: เช่น คณะกรรมการจริยธรรมในอังกฤษจะมีช่องทางพิเศษ (fast track) ในการพิจารณาอนุมัติโครงการวิจัยฯที่เกี่ยวข้องกับโรคอุบัติใหม่ให้แล้วเสร็จใน 1-2 เดือน

 

 

6. ทำงานประสานกับเครือข่ายเฝ้าระวังโรคติดต่อทั่วโลก เช่นองค์การอนามัยโลก

 

 

7. ส่งเสริมความร่วมมือด้านการแบ่งปันข้อมูล รหัสพันธุกรรมจีโนมของโรคติดเชื้อระหว่างประเทศให้กับหน่วยงานกลาง เช่น "จีเสส (GISAID)" ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลาแบบเรียลไทม์

 

 

8. ดำเนินการรณรงค์ให้เกิดความตระหนักรู้ด้านสุขภาพอย่างครอบคลุม (health literacy)

 

ประเทศไทย : เช่น กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์แก่ประชาชน ผ่านบรรดานักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์และสถาบันวิจัยทั่วประเทศ

 

 

9. สนับสนุนนโยบายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ลดการตัดไม้ทำลายป่า ลดการรุกล้ำป่า ลดภาวะโลกร้อน

 

 

10. มีนโยบายดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง และกำลังจะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศในอนาคต

 

ประเทศไทย : อายุเฉลี่ยของประชากรไทยเพิ่มขึ้นเป็น 80 ปี จากเดิมเพียงประมาณ 50 ปี เมื่อ 66 ปีที่แล้ว โดยมีอัตราเด็กเกิดใหม่ ณ ปัจจุบันเพียง 1.2 คน จากพ่อแม่หนึ่งครอบครัว

 

 

11. เสริมสร้างกฎระเบียบควบคุมตลาดสด และการค้าสัตว์ป่ามิให้เป็นแหล่งแพร่เชื้ออุบัติใหม่สู่ชุมชน

 

 

12. มีระบบควบคุมห้องปฏิบัติการวิจัยเชื้อโรคจากสัตว์ป่า ที่อาจก่อให้เกิดโรคอุบัติใหม่ไม่ให้หลุดออกมาจากห้องแล็บแพร่สู่ชุมชน

 

 

13. เตรียมแผนและกำหนดมาตรการ เช่น ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ฉีดวัคซีน การปิดโรงเรียน การปิดเมือง (หากจำเป็น) ที่ปรับเปลี่ยนได้ ตามสถานการณ์ของ โรคระบาด ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ