อัปเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของ "โควิด19" ซึ่งยังคงพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีการปรับการรายงานตัวเลขเป็นรายสัปดาห์แล้วก็ตาม โดยตัวเลข ยอดผู้ติดเชื้อโควิด รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 4 - 10 ธันวาคม 2565
พบผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 3,961 ราย เฉลี่ยรายวัน จำนวน 566 ราย/วัน ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 323 ราย ป่วยสะสม 2,492,054 ราย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรายสัปดาห์อยู่ที่ 107 ราย เฉลี่ยรายวัน 15 ราย/วัน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 2 ราย เสียชีวิตสะสม 11,694 ราย
ล่าสุด "หมอยง" ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก Yong Poovorawan โดยกล่าวถึง ระยะเวลาที่ผ่านมา 3 ปี เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรค "โควิด19" และเปลี่ยนแปลงความเข้าใจมากขึ้น ดังนี้
1. โรค "โควิด19" เป็นแล้วเป็นอีกได้ การติดเชื้อซ้ำ หรือมีอาการของโรคซ้ำ เกิดขึ้นได้ เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ RSV ไม่เหมือนกับโรคหัด ตับอักเสบ เอ สุกใส ที่เมื่อติดเชื้อแล้วจะมีภูมิต้านทานป้องกันโรคตลอดชีวิต
2. ภูมิคุ้มกันหมู่ที่มีการพูดกันมากในระยะแรก เพื่อหวังจะยุติการระบาดของโรค ไม่สามารถใช้ได้กับ "โควิด19" ถึงแม้ว่าประชาชนเกือบทั้งหมดมี ภูมิต้านทาน โรคก็ยังเกิดอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้หายไปไหน
3. โรค "โควิด19" จะเป็น โรคตามฤดูกาล สำหรับประเทศไทยจะมีจุดสูงสุดของการระบาดในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน และช่วงที่ 2 ในกลางเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ แต่จะน้อยกว่าในช่วงแรก
4. ความหวังที่จะใช้วัคซีนในการยุติการระบาดของโรค หรือควบคุมการระบาด อย่างในปีแรกที่คาดหวัง จึงไม่สามารถใช้ได้
5. วัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่มี วัคซีนโควิด ตัวไหนเป็นวัคซีนเทพ อย่างที่ตอนแรกทุกคนเรียกร้อง วัคซีนทุกตัวไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ลดความรุนแรงของโรคลง ลดอัตราการเสียชีวิต
6. ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากวัคซีน ไม่ว่าจะสูงต่ำที่ตรวจวัดกัน ไม่สามารถที่จะมาป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจวัดภูมิต้านทาน ยกเว้นในการศึกษาวิจัยเท่านั้น
7. การดูแลที่สำคัญคงจะต้องเน้นกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการเสียชีวิตด้วยวัคซีน ต่อไปจะต้องเน้นกลุ่มเปราะบางเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
8. การตรวจวินิจฉัยว่าติดเชื้อ "โควิด19" หรือไม่ ปัจจุบันใช้เพียง ATK ก็เพียงพอ ถึงแม้ว่าจะมีความไวต่ำกว่า realtime RT-PCR ด้วยข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายและระยะเวลา เราหมดเงินไปมากแล้ว
9. สิ่งสำคัญที่ต่อไปจะเน้นการรักษาในกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะการใช้ ยาต้านไวรัส ที่มีประสิทธิภาพ และเป็นไปได้ต้องการที่ดีกว่าในปัจจุบัน การศึกษาในประชากรกลุ่มเล็กส่วนใหญ่จะได้ผลดี แต่เมื่อมาใช้จริงกับบมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการศึกษา เช่นเดียวกันกับวัคซีน การทดลองได้ผลดีแต่เมื่อใช้จริง ประสิทธิภาพน้อยกว่าการทดลองมาก
10. ระยะเวลาการกักตัวน้อยลงมาโดยตลอด ระยะแรกต้องเข้มงวดเรื่องการแพร่กระจายให้เป็นศูนย์ แต่ปัจจุบันโรคติดต่อง่าย จึงใช้มาตรการเข้มงวดและระเบียบวินัย การกักตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ใช่โรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามแล้ว โรงพยาบาลจะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการมากเท่านั้น เหมือนในภาวะปกติ
11. ในอนาคตเมื่อประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อ ก็จะเกิดภูมิต้านทานแบบลูกผสม จะมีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่างดี การฉีดวัคซีนบ่อย จะไม่มีความจำเป็น ไวรัส "โควิด19" เองก็จะเปลี่ยนพันธุกรรมไปเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้
12. กลุ่มประชากรที่ยังไม่มีภูมิต้านทานหรือไม่เคยติดเชื้อและไม่เคยได้รับวัคซีนเลย จะเป็นกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิด ขึ้นไป จนกว่าจะได้รับวัคซีนหรือการติดเชื้อ อย่างไรก็ตามการติดเชื้อในวัยเด็ก ความรุนแรงน้อยกว่าในวัยผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ ในวัยเด็กช่วง 6 เดือนแรก จะได้รับภูมิบางส่วนส่งต่อจากมารดา เหมือน โรคทางเดินหายใจ ทั่วไปเช่น RSV และก็จะเริ่มไปติดเชื้อหลัง 6 เดือนไปแล้ว
13. ระยะเวลาต่อไป ชีวิตก็จะเข้าสู่ภาวะปกติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และโรคนี้ก็จะเป็นโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่ง เช่นเดียวกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆที่เกิดจากเชื้อไวรัส
14. ทุกชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป และเชื่อมั่นว่า ความรุนแรงของโรคมีแนวโน้มที่จะลดลงเหมือนกับโรคทางเดินหายใจเช่นไข้หวัดใหญ่ RSV
15. องค์ความรู้ใหม่ด้วยงานวิจัย ยังจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ความรู้นั้นในบริบทของประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง