ข่าว

โภชนาการ "เด็กไทย" ในยุค โควิด19 พบ 6 เดือน – 12 ปี ยังเผชิญภาวะอ้วน-น้ำหนักเกิน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผลวิจัย SEANUTS II โภชนาการ "เด็กไทย" ในยุค โควิด19 ยังเผชิญภาวะทุพโภชนา ขาดสารอาหาร อ้วน น้ำหนักเกิน เผย นม ยังเป็นแหล่งคุณค่าทางโภชนาการหลัก

บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลสำรวจภาวะโภชนาการใน "เด็กไทย" แบบเจาะลึก จากโครงการ SEANUTS II ชี้ "เด็กไทย" มีประเด็นทางสุขภาพที่ยังน่าเป็นห่วง ได้แก่ น้ำหนักเกินเกณฑ์และอ้วน ซึ่งพบในเด็กอายุ 7 – 12 ปี มากกว่า 30% ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีเผชิญกับภาวะโลหิตจางที่สูงถึง 50% การบริโภคอาหารและปริมาณพลังงาน-สารอาหารที่ได้รับในแต่ละวันที่ไม่สมดุล พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงจากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค โควิด19

รศ.ดร.ชลัท ศานติวรางคณา ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการที่ดี จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำสำรวจภายใต้โครงการ SEANUTS (South East Asian Nutrition Surveys) เพื่อให้เข้าใจถึงข้อมูลเชิงลึก ที่เป็นปัจจัยอันส่งผลต่อภาวะโภชนาการของเด็กในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงภาวะโภชนาของ "เด็กไทย"  ไม่ว่าจะเป็นการ บริโภคอาหาร หรือพฤติกรรม-การใช้ชีวิตของเด็กที่เกี่ยวข้องต่อสุขภาพ

โดยทางสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินร่วมกับทางสถาบันวิจัยฟรีสแลนด์คัมพิน่าทำ ครั้งล่าสุดในปีพ.ศ. 2562 – 2564 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค โควิด19 มาเป็นปัจจัยเพิ่มเติมที่น่าสนใจ

รศ.ดร.นิภา โรจน์รุ่งวศินกุล ที่ปรึกษาสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และหัวหน้าโครงการ SEANUTS II ของประเทศไทย เปิดเผยว่า  ภาวะทุพโภชนาการในเด็กยังคงเป็นปัญหาหลักในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก  รวมถึงประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพของอาหารและโภชนาการเด็กที่ยังต้องปรับปรุง โดยปัจจุบัน "เด็กไทย" ช่วงอายุ 6 เดือน -12 ปี ทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ห่างไกล ยังคงเผชิญกับภาวะทุพโภชนาการหลากหลายรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นการขาดสารอาหาร หรือมีอัตราน้ำหนักเกินและโรคอ้วน โดยเฉพาะในเด็กอายุ 7-12 ปี ที่มีมากก+ว่า 30% ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ฯลฯ และยังพบว่า มีเด็กที่อายุ 6 เดือน – 12 ปี มากกว่า 70% ได้รับแคลเซียมไม่ถึงเกณฑ์ที่แนะนำสำหรับการบริโภคต่อวัน    

เด็กไทย

นอกจากนี้ จากการสำรวจพบภาวะโลหิตจางในเด็กกลุ่มที่อายุต่ำกว่า 4 ปี ของไทยที่สูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นในกลุ่มดำเนินการสำรวจ  โดยภาวะดังกล่าวอาจส่งผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญา การเจริญเติบโตของร่างกายและประสิทธิภาพในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ ขณะที่สัญญาณเบื้องต้นของปัญหาทุพโภชนาการอย่างภาวะเตี้ยแคระแกร็นในเด็กอายุ 0 – 5 ปี พบว่าลดลงจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งในอดีตอยู่ที่ 10.6% แต่ปัจจุบันพบราว 4.6% และน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่ร่วมกันจัดทำการสำรวจ 

รศ.ดร.นิภา ขยายความต่อถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาวะโภชนาการและสุขภาพของเด็กว่า ทางทีมวิจัยได้มีการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารเช้า เป็นสัญญาณที่ดีว่าเด็กไทยส่วนใหญ่บริโภคมื้อเช้า และมากกว่า 55% รับประทานไข่ไก่เป็นประจำ โดยมากกว่าหรือเท่ากับ 4 ฟอง / สัปดาห์ ขณะที่ 88.1% ดื่มนมมากกว่า 4 แก้ว / สัปดาห์  และเมื่อทำการสำรวจลงลึกถึงคุณภาพของสารอาหาร พบว่าเด็กที่ได้รับแคลอรี่ที่เพียงพอในมื้อเช้า มีสัดส่วนของการขาดสารอาหาร ทั้งในกลุ่มสารอาหารหลักและกลุ่มสารรองที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามิน A, C, D, B1, B2, B3 และ B12 ที่ลดลง (ขาดน้อยลง) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับแคลอรี่จากมื้อเช้าต่ำ ดังนั้นการบริโภคอาหารเช้าที่พอเพียงจะส่งผลต่อการได้รับสารอาหารที่พอเพียงตลอดทั้งวัน

เมื่อเทียบกับในอดีตยังพบว่าการบริโภคอาหารแปรรูป เครื่องดื่มรสหวาน และของว่างไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ คือ การเคลื่อนไหวร่างกายกลางแจ้งที่ลดลงอยู่ที่ 32% ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 โดยภาพรวมอยู่ที่ 39% ในเด็กอายุ 10-12 ปี จะมีการเคลื่อนไหวร่างกายต่ำกว่าเกณฑ์ สวนทางกับการเพิ่มขึ้นของการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาวะโดยรวมของเด็ก หรือนำไปสู่ภาวะการขาดวิตามินดีได้

 

เด็กไทย

ดร. โอฬาร โชว์วิวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการนำผลสำรวจมาต่อยอด ว่า จากผลสำรวจ SEANUTS II มีหลายส่วนที่น่าสนใจ แม้สถานการณ์โดยรวม ทั้งในเรื่องการบริโภคอาหารเช้า หรือ ทุพโภชนาการลักษณะขาด (ภาวะแคระแกร็น) ประเทศไทยจะอยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่เราสามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้ อาทิ การได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ ทั้งๆ ที่ "เด็กไทย" ดื่มนมเป็นประจำ อย่างที่เราทราบกันดีว่า ปริมาณการดื่มนมที่แนะนำสำหรับเด็ก คือ 2-3 แก้ว / วัน  แม้เด็กจะดื่มมากกว่า 4 แก้ว / สัปดาห์จึงยังอาจไม่เพียงพอ และสิ่งนี้ยังทำให้ผู้ผลิตต้องหันกลับมาดูคุณภาพและสารอาหารในนมพร้อมดื่ม เมื่อนมเป็นอาหารหลักที่เด็กรับประทาน 

 

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Facebook : https://www.facebook.com/komchadluek/
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ