
"พ่อหมอกฤตไท" ซัดอากาศสะอาดคือสิทธิ์ของทุกคน ไม่ใช่เกมการเมือง
"พ่อหมอกฤตไท" ซัดแรง อากาศสะอาดคือสิทธิ์ของทุกคน ไม่ใช่เกมการเมืองของผู้ใด หลังสภาล่ม เบรก พ.ร.บ.อากาศสะอาด
จากกรณีเมื่อวันที่ 25 ก.ย.2568 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ซึ่งมีนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นประธานกมธ.พิจารณาแล้วเสร็จ องค์ประชุมไม่ครบในการลงคะแนน ทำให้องค์ประชุมสภาล่มในทันทีและต้องสั่งปิดประชุม จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความสำคัญของพ.ร.บ.ฉบับนี้
ล่าสุด นายไทภัทร ธนสมบัติกุล บิดาของ นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล เจ้าของแฟนเพจ สู้ดิวะ โพสต์ข้อความระบุว่า
#สู้ดิวะ อากาศสะอาด ไม่ใช่ของเล่นทางการเมือง ! อากาศสะอาด คือสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ ! ฟังลูกชาย เล่าถึงภัยร้ายจากฝุ่นพิษ PM2.5 แล้ว ใจหาย นี่ไม่ใช่แค่ฝุ่นธรรมดา แต่มันคือ ฆาตกรเงียบ ที่แทรกซึมเข้าสู่ปอด สมอง กระดูก และทุกอวัยวะ มันกัดกินสุขภาพทีละน้อย จนต้องเผชิญความเจ็บปวดทรมาน และตายในที่สุด
ทุกลมหายใจที่สูดฝุ่น คือการกลืนยาพิษเข้าไปในร่างกาย มันไม่เว้นว่าใครจะเป็น เด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ…ไม่มีใครหนีพ้น ถึงเวลาแล้วที่เราต้องรักตัวเอง และรักคนใกล้ชิดให้มากพอ ที่จะไม่เพิกเฉยต่อภัยเงียบนี้อีกต่อไป เราต้องลุกขึ้น ตะโกนเรียกร้องให้ได้สิทธิขั้นพื้นฐานในการมี “อากาศสะอาด” ไว้หายใจ
นี่ไม่ใช่เรื่องของพรรค ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของใคร แต่มันคือสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ของเราทุกคน ! ประเทศไทยต้องมี พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่บังคับใช้ได้จริง ไม่ใช่เป็นแค่ตัวหนังสือที่ไร้พลัง ขอย้ำว่า..อากาศสะอาด คือสิทธิ์ของทุกคน ไม่ใช่เกมการเมืองของผู้ใด จงจำไว้ !
สุดท้าย…ขอประณามสาปแช่ง ผู้ใดที่บิดเบือน ปิดกั้น หน่วงเหนี่ยว หรือเล่นเกมการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้อง ขอให้ผู้นั้นและคนใกล้ชิดต้องได้เผชิญชะตากรรม เฉกเช่นเดียวกับผู้ป่วยทางเดินหายใจ ทีเจ็บปวด ทรมาน และสิ้นใจไปท่ามกลางอากาศพิษที่ตนเองมีส่วนร่วมก่อไว้
สำหรับ นพ. กฤตไท ธนสมบัติกุล หรือ "หมอกฤตไท" เจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2566 หลังต่อสู้กับโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 หลังจากเสียชีวิต นพ.กฤตไท ได้อุทิศร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ เพื่อให้คุณหมอได้ใช้ในการศึกษา เรื่องราวของหมอกฤตไท สร้างความสนใจและความตื่นตัวต่อประเด็นปัญหาสุขภาพ และได้กระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในเชียงใหม่